เรื่องย่อของหนังสือเล่มนี้มีอยู่ว่า องค์การลับแห่งหนึ่งซึ่งกระจายอยู่ทั่วยุโรป สมาชิกประกอบไปด้วยรายชื่อกลุ่มบุคคลอัจฉริยะทั้งหลาย คนเหล่านี้กุมความลับของคริสต์ศาสนจักรเอาไว้ ความลับที่ว่าก็คือพระเยซูไม่ได้ตายบนไม้กางเขนตามที่เราเข้าใจ หากแต่ถูกช่วยเหลือให้หลบหนีออกมาได้ แล้วอพยพไปอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มีภรรยา มีครอบครัว ใช้ชีวิตเป็นคนสามัญชน และมีผู้สืบสกุลหน้าที่ขององค์การที่ว่าก็คือ รวบรวมข้อมูลสายสัมพันธ์ดังกล่าว และบันทึกสายพันธุกรรมรุ่นลูกรุ่นหลานของพระเยซู ตามที่ชาวคริสต์เชื่อกันว่าพระเยซูหรือจีซัสนั้นคือบุตรของพระผู้เป็นเจ้า
เจ้าเรื่องที่มาเกี่ยวพันกับดาร์วินชีก็คือ ในฐานะของสมาชิกคนสำคัญคนหนึ่งของกลุ่มบุคคลอัจฉริยะนี้ ดาร์วินชีได้พยายามบอกใบ้ข้อมูลดังกล่าวเอาไว้ในภาพเขียนดังภาพต่างๆ ของตนเอง ดาร์วินชีโค้ด กลายเป็นหนังสือขายดีมากเล่มหนึ่งในประวัติศาสตร์ไปแล้ว แต่ก็อย่างที่จั่วหัวไว้ตั้งแต่ต้นว่าเป็นเรื่องแต่งขึ้นมา โดยผสมผสานเรื่องกับเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นจริง นักเขียนนำเอาความลึกลับ ความอัจฉริยะ ความเป็นนักคิดสร้างสรรค์เหนือกาลเวลาของลีโอนาโด ดาร์วินชี มาใช้เป็นน้ำหนักถ่วงในการสร้างความน่าสนใจและความน่าจะเป็น ซึ่งก็ใช้ได้ผลดีจริงๆ เสียด้วย นี่ก็แว่วมาอีกว่าไม่นานจะมีหนังฮอลลีวู้ดออกมาให้ชมกัน เพราะบทประพันธ์นั้นถูกซื้อไปทำเป็นบทหนังเรียบร้อยแล้ว
เมื่อเป็นภาพยนตร์ออกมาก็คงจะได้รับการตอบรับไม่แพ้หนังสือเล่มหนาเป็นแน่ สงสัยกันแล้วสิครับ ว่าเนื้อหาคราวนี้เป็นการแนะนำหนังสือหรืออย่างไร
ผมไม่ได้พยายามมาทำเท่เกาะกระแสดาร์วินชีโค้ดฟีเวอร์แต่อย่างไรหรอกครับ อย่าเข้าใจผิด เพราะหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้ใหม่อะไร บ้านเราเพิ่งจะเห่อกันไม่นานมานี้ บังเอิญที่ว่าหนังสือเล่มนี้รื้อพื้นความสนใจบางประการของผมเกี่ยวกับนักคิดล้ำยุคคนนี้ ทำให้เหลือบไปเห็นความสัมพันธ์แบบเดียวกัน จากตัวหนังสือกับบุคคลที่ถูกยกมาเป็นมูลเหตุของเรื่อง ที่ขึ้นเรื่องลากมาเสียยาวเหยียด
อนุมานว่าทุกคนทราบกันอยู่แล้วว่าใครคือ ลีโอนาโด ดาร์วินชี เอาแบบสั้นๆ รวบรัด เขาคือ นักคิด นักวิทยาศาสตร์ จิตรกร นักเขียน นักประดิษฐ์ วิศวกร สถาปนิก ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ไฮไลท์ของยุคเรอเนสซองส์จากศตวรรษที่สิบห้า ศิลปินที่ได้รับการสนับสนุนค่าใช้จ่ายจากตระกูลดาร์มิชชี ผู้ปกครองเก่าแก่ของอิตาลีเช่นเดียวกับศิลปินรุ่นน้องอีกคนอย่างไมเคิล แองเจโล
พูดถึงดาร์วินชี ทุกคนก็จะนึกถึงรูปโมนาลิซ่าเป็นหลัก แต่อย่างที่ทราบกันว่าเขาคนนี้ไม่ใช่แค่จิตรกรเท่านั้น สิ่งที่สร้างชื่อให้ดาร์วินชี่อย่างมากอีกอย่างก็คือ สมุดบันทึกผลงานการทดลอง และการวาดจินตนาการทางนวัตกรรมล้ำกาลเวลาของเขา เป็นผลงานอีกชิ้นที่สร้างความฮือฮาและจดจำไม่แพ้ทักษะทางการวาดภาพ และผลงานการจรดพู่กันที่นำมาตีความกันต่างๆ นาๆ
ว่ากันว่าเจ้าสมุดบันทึกที่เหลือให้เห็นเป็นหลักฐานในทุกวันนี้ มันเป็นเพียงแค่จำนวนเกือบไม่ถึงหนึ่งในสามของจินตนาการทั้งหมด ทราบกันหรือไม่ว่า ดาร์วินชีนั้นจดบันทึกงานออกแบบ และทฤษฎีต่างๆ ของเขาโดยใช้เทคนิคการเขียนกลับข้าง เหตุเพราะเขาต้องการทำให้ยากต่อคนอื่นในการทำความเข้าใจ การลอกเลียนผลงานความคิดสร้างสรรค์ และบางส่วนก็เป็นการปกปิดแนวความคิดที่มีผลค้านกับความเชื่อของศาสนจักร กอปรกับตัวดาร์วินชีเองเป็นคนถนัดซ้าย ใช่ครับถนัดซ้าย ซึ่งเป็นเรื่องแปลกสำหรับยุคนั้น ที่พ่อแม่มักจะฝืนให้เด็กที่ถนัดซ้ายมาใช้มือขวา ดาร์วินชีจึงคิดริเริ่มพัฒนาให้ตนเองเขียนหนังสือจากขวาไปซ้ายเพื่อให้สะดวกและไม่เลอะเปรอะหมึก
จินตนาการของดาร์วินชี ที่สามารถก้าวข้ามผ่านมาเป็นความจริงได้ในโลกยุคใหม่ก็อย่างเช่น แนวความคิดเรื่องเฮลิคอปเตอร์ รถถัง อุปกรณ์กระโดดร่ม อุปกรณ์ดำน้ำ เป็นต้น นี่ยังไม่นับระบบเฟือง ซึ่งเป็นสิ่งที่สามารถทำได้จริงและถูกพัฒนาในยุคสมัยนั้นจนกลายมาเป็นแม่แบบของระบบกลศาสตร์ในปัจจุบัน
ภาพของอนาคตที่ดาร์วินชี่วาดเอาไว้ หลายอย่างถูกตอบสนองโดยเทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนาต่อยอดกันมาจากองค์ความรู้เดิมในแต่ละห้วงเวลา เมื่อทำความเข้าใจแล้วจะเห็นได้ว่าจินตนาการมีบทบาทสูงและสำคัญมากทีเดียว ในการผลักดันให้เทคโนโลยีมีความจำเป็นต้องถูกเร่งพัฒนาขึ้นมารองรับจินตนาการนั้นๆ โดยมีการเงินและการค้าเข้ามาเป็นตัวหล่อลื่น ลองคิดเล่นๆ ดูสิครับ ว่านี่แค่จินตนาการบางส่วนจากเพียงเกือบหนึ่งในสามที่ส่งให้เกิดอิทธิพลกับภาพของโลกปัจจุบัน ถ้าสมุดบันทึกนี้อยู่อย่างครบถ้วน มันจะสามารถผลักโลกของเราไปในทิศทางใด