นึกย้อนเวลากลับไปไกลสักนิดนึง เมื่อครั้งมนุษย์เราเริ่มรวมตัวและสร้างชุมชน เป็นข้อน่าสังเกตุว่าอารยธรรมที่เกิดขึ้นบนโลกเราใบนี้ แทบจะเรียกได้ว่าส่วนใหญ่เป็นอารยธรรมลุ่มแม่น้ำ ความเจริญของชุมชนเติบโตมาเป็นเมืองเล็กและเมืองใหญ่ตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างลอนดอนกับแม่น้ำเทมส์ นิวยอร์คกับแม่น้ำสองสาย ฮัดสันและอีสท์ขนาบข้างซ้ายขวา แม่น้ำแซนด์เส้นเลือดใหญ่ของปารีส กรุงเทพของเราก็มีแม่น้ำเจ้าพระยาแบ่งสองฝั่งพระนครและธนบุรี แม้กระทั่งอารยธรรมแรกของโลกอย่างเมโสโปเตเมีย หรือที่รู้จักกันในชื่อเมืองปัจจุบันว่า แบกแดด ก็มีแม่น้ำไทกรีสและยูเฟตีสโอบสองข้าง (พอพูดถึงอารยธรรมก็ชวนให้อ้อมไปคิดนอกเรื่อง เหตุการณ์ปัจจุบันมันก็ชวนคิดอยู่เหมือนกันตรงที่ อารยธรรมแรกของโลกทำสงครามกับอารยธรรมล่าสุดของโลกอย่างอเมริกา)
เหตุผลของการเลือกสถานที่ตั้งของเมือง ทำไมจึงต้องเป็นบริเวณลุ่มแม่น้ำ? คำตอบแบบยิ่งใหญ่ฟังดูมีจริตนิดๆ ก็คงจะเป็นประโยคที่ว่า “น้ำคือต้นกำเนิดของชีวิต” มนุษย์เราใช้ประโยชน์จากน้ำสารพัด ตั้งแต่ดื่มกิน เพาะปลูกไปจนถึงอาบซักล้าง ไหนจะใช้เป็นเส้นทางการคมนาคมขนส่งผู้คนและสินค้า ในวันวานบ้านหรือสถานที่ที่อยู่ติดแม่น้ำก็เหมือนมีท่อประปาเข้าถึง (สำหรับบางบ้าน ท่อประปากับท่อน้ำทิ้งก็เป็นท่อเดียวกัน) เหมือนสถานีรถไฟฟ้าหรือรถไฟใต้ดินผ่านหน้าบ้าน
นอกจากเหตุผลทางด้านวิถีการดำรงชีพที่ทำให้ต้องผูกพันกับแหล่งน้ำแล้ว เหตุผลที่สำคัญอย่างมากในการสร้างเมือง คือการเลือกจุดยุทธศาสตร์ทางการทหาร แหล่งน้ำก็ถูกใช้เป็นปราการธรรมชาติป้องกันการรุกรานของอารยธรรมอื่น จะเห็นได้ว่าวิชาการผังเมือง มีบทบาทมาตั้งแต่วันแรกที่เอานิ้วจิ้มลงบนแผนที่ ว่าจะเอาตรงจุดนี้แหละเมื่อเกิดเมืองขึ้น
มันก็ต้องมีการพัฒนาสังคมและคุณภาพชีวิตตามมามากมายสารพัด ที่เป็นเหตุให้ต้องมีการจัดสรรพื้นที่ให้เหมาะสมกับสังคมเมืองที่เติบโตขึ้น ก็เพราะเมื่อคอนเซ็ปต์ของที่อยู่อาศัยกับพื้นที่เพาะปลูกเปลี่ยนไป ภาคเกษตรกรรมก็ต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของมนุษย์ จากการเพาะปลูกเพื่อคนเพียงหยิบมือ มันก็กลายมาเป็นเพื่อคนนับล้าน แล้วจะเอาไร่นา โรงสี และอุตสาหกรรมแปรรูปภาคเกษตรกรรมมาไว้กลางเมืองก็ใช่ที่
ทุกวันนี้ถ้าอยากเห็นว่าวิถีชีวิตของคนกรุงเทพของเราเคยเป็นอย่างไร คงต้องออกไปเขตรอบนอกอย่างหนองจอก ลาดกระบัง ที่อาจจะพอเห็นเป็นลางๆ ได้บ้างส่วนใหญ่เวลาพูดถึงผังเมืองกรุงเทพที่โตนอกลู่นอกทางมานาน หลายคนก็ส่ายหน้าหนี บ้างก็ทำหน้าปลง เรามักจะกล่าวโทษผังเมืองแต่ในเรื่องของการจราจรเสียเป็นส่วนใหญ่ จริงอยู่ที่ปัญหาจราจรปัญหาเดียวก็ใหญ่มากอยู่แล้ว และส่งผลกระทบต่อเป็นลูกโซ่ไปอีกในหลายประเด็น ในความเป็นจริงแล้วการออกแบบผังเมืองนั้นมีผลโดยตรงต่อหลายโครงสร้างทางสังคมมากกว่าที่เราคิด
การที่มีผังเมืองดีมีประโยชน์มากมาย ไม่เพียงแค่ป้องกันหรือแก้ไขปัญหาคาใจอย่างการจราจร ผังเมืองที่ดียังมีประโยชน์ในแง่ที่เราไม่ค่อยได้พูดถึง อย่างเช่น ทำให้เกิดย่านเศรษฐกิจในหลายๆ จุดของเมือง อันนำมาซึ่งการหมุนเวียนทางธุรกิจ การเงิน และการสร้างงาน ย่านธุรกิจก็จะได้ไม่กระจุกตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง พื้นที่ที่เรียกกันว่าทำเลทองก็จะมีมากขึ้นไปรษณีย์ก็น่าจะทำงานได้สะดวกแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น เพราะการค้นหาที่อยู่ก็ไม่เป็นเรื่องปวดหัว ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นจริง บริการพิเศษกึ่ง(เกือบ)ธรรมดาอย่างอีเอ็มเอสคงจะรายได้ตก เป็นการง่ายต่อการแบ่งเขต และการควบคุมระบบต่างๆ ที่เมืองจำเป็นต้องรองรับ หรือว่าสามารถประหยัดงบประมาณในการสร้างหรือต่อเติมระบบสาธารณูปโภคในอนาคต ไล่ไปตั้งแต่ น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ หรือเคเบิ้ลทีวี อินเทอร์เน็ต หรืออะไรก็ตามที่จะเกิดขึ้นมารองรับความต้องการในอนาคต
อีกทั้งระบบขนส่งมวลชนที่ช่วยให้การเดินทางง่ายสะดวกขึ้น หรือจะเป็นเรื่องหน้าตาของเมืองก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน ยิ่งในกรณีของกรุงเทพหรือหัวเมืองต่างๆ ที่การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมหลัก บรรยากาศและสภาพของเมืองก็คือสิ่งภายนอกที่สามารถพบเห็นได้ก่อน สิ่งก่อสร้างสำคัญที่เป็นจุดดึงดูดการท่องเที่ยวจึงเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ มันยังเกี่ยวพันไปถึงการสร้างทัศนียภาพโดยรวมของย่านต่างๆ ในเมืองใหญ่
ท้ายสุดแล้วมันก็ส่งผลต่อผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ และวิธีคิดของคนในสังคม ที่เป็นระบบมาตรฐานอันเป็นเหตุตามมาจากคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นใครที่ชอบอ่านประวัติศาสตร์ หรือได้ชมภาพยนตร์เดอะเปียนนิสต์ก็จะเห็นว่า เรื่องของผังเมืองยังเคยถูกใช้ในแง่ต่างๆ ที่เราคาดไม่ถึง อย่างเช่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อเยอรมันจัดแบ่งเขตในกรุงวอซอร์เมืองหลวงของโปแลนด์ เพื่อไล่ต้อนชาวยิวให้ไปอยู่ในพื้นที่เมืองจำเพาะ ก่อนที่จะจำกัดพื้นที่ให้เล็กลงทีละน้อยเพื่อให้คุณภาพชีวิตแย่ลง และง่ายต่อการควบคุม ก่อนจะย้ายไปแคมป์เพื่อการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
จะเห็นได้ว่าในกรณีนี้ผังเมืองถูกใช้เป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงความเป็นอยู่ของมนุษย์ จะว่าไปแล้ววิชาการแบบผังเมืองก็คือวิชาว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับพื้นที่ พื้นที่ก็มีส่วนในการพัฒนาบุคคลในสังคม มีผลต่อการดำเนินชีวิต สุขภาพ อุปนิสัย และจิตใจ สำหรับบ้านเรา ปัญหาผังเมืองและการจัดสรรพื้นที่ นำไปสู่ปัญหาจราจร ซึ่งเป็นปัญหานำมาสู่ปัญหาอื่นๆ อีกมากมาย นับตั้งแต่ กวนใจทั้งคนที่ติดอยู่บนท้องถนนและคนที่อาศัยอยู่สองข้างเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่น สูญเสียเงินตราและโอกาสเติบโตทางเศรษฐกิจ สร้างอากาศเสีย กระทบให้เกิดปัญหาสุขภาพทำลายบุคลากรและทรัพยากรมนุษย์ อีกทั้งยังสร้างอุปนิสัยแปลกๆ เช่น มารยาทการขับรถที่ส่อให้เห็นถึงการเอาตัวรอดแบบด้อยพัฒนา การเลื้อยเปลี่ยนเลนแบบเสียมิได้ การต้องอดทนกับรถติดอาจเป็นเหตุนำไปสู่การใช้กฏหมู่ ถือวิสาสะปิดถนนซิ่งรถเวลากลางวันและกลางค่ำกลางคืน ก็อาจจะมาจากความเก็บกดดังกล่าว รวมๆ อาจจะเหมาเรียกด้วยคำใหญ่ๆ ว่า “คุณภาพชีวิต”
บ่อยเหลือเกินที่รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าติดชะงักอยู่บนถนนในกรุงเทพ วันนี้ก็เช่นกัน รถติดๆ เคลื่อนๆ อยู่บนสะพานพระรามเก้า เลยมีโอกาสได้มองเจ้าพระยานานหน่อย จะว่าไปแล้วรถติดก็ส่งผลดีในบางครั้ง ตรงที่ทำให้มีเวลาได้คิดฟุ้งซ่านในหลายๆ เรื่อง คิดเรื่องงาน คิดเรื่องโน้นเรื่องนี้สารพัด แต่มันก็เป็นเพียงด้านดีที่ไม่คุ้มกับด้านเสีย เมื่อเทียบกับราคาน้ำมัน และค่าเสื่อมสภาพของระบบทางเดินหายใจ และไม่คุ้มเท่าไหร่กับเวลาอันสั้นนักของตัวเองบนโลกใบนี้ พอมีโอกาสได้บ่นเรื่องรถติดกับเพื่อน ก็พบตัวเองเล่าเรื่องซ้ำซากของความเซ็งบนท้องถนน ขอเพียงได้บ่นสองสามคำแล้วสักพักก็ลืม ก็เพราะว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ แล้วก็ถอดใจ