เรื่องของนามบัตร

➜ การแลกเปลี่ยนนามบัตรในการติดต่อธุรกิจเป็นเรื่องสามัญที่ปฏิบัติกัน ในสัปดาห์หนึ่งของผมเฉลี่ยแล้วจะต้องได้รับนามบัตรบ้าบอคอแตกอย่างน้อยสองใบ ครับ ผมเป็นคนชอบสะสมนามบัตรบ้างเล็กน้อยถึงปานกลาง แล้วก็ไม่เกรงใจที่จะบอกตรงนี้ด้วยว่าทิ้งนามบัตรน่าเกลียดหลายใบจนนับไม่ถ้วน แน่นอนที่น่าเกลียดแต่สำคัญก็จำเป็นต้องเก็บไว้ เพราะมันเป็นจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของนามบัตร

ผมอยากให้เรามองว่า การเกิดขึ้นของนามบัตร เป็นหลักฐานอีกชิ้นที่แสดงให้เห็นถึงการเกิดขึ้นของกราฟิกดีไซน์เพื่อการพาณิชย์ มันเป็นการทำงานควบคู่กันของสองศาสตร์

หน้าที่หลักของนามบัตรก็คือช่วยในการจดจำบุคคลและองค์กร มันถูกบรรจุด้วยที่อยู่ที่สามารถติดต่อเพื่อธุรกรรมในอนาคต เมื่อเวลาผ่านไป โลกพัฒนาขึ้น นามบัตรก็ร่วมแสดงหลักฐานในการก้าวเข้ามาของโทรศัพท์ มาจนถึงนวัตกรรมล่าสุด อีเมล์ ผมเคยคิดเหมือนกันว่าถ้าข้อมูลบนนามบัตรมีมากขึ้นตามความต้องการที่เปลี่ยนไป และเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เราจะยัดข้อมูลทั้งหมดลงในกระดาษ สองคูณสามนิ้วครึ่งนี้ได้อย่างไร? เพราะทุกวันนี้เราก็เห็นนามบัตรแบบพิมพ์สองหน้าเพิ่มมากขึ้นทุกวันอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตามท้ายสุด ณ วินาทีนี้ เจ้านามบัตรใบจ้อยมันก็ยังเป็นการลงทุนที่ถูกสตางค์ที่สุดแล้วสำหรับการแนะนำตัวเองครับการแนะนำตนเอง การยื่นและแลกเปลี่ยนนามบัตร ก็นำมาซึ่งเรื่องที่ทำให้เราได้คิด

ผมเองออกแบบนามบัตรมานักต่อนัก จนกระทั่งทำให้มองข้ามอะไรเกี่ยวกับนามบัตรไปตั้งหลายอย่าง เข้าตำราใกล้นักมักไม่เห็น สงสัยว่าใครบางคนเบื้องบนเห็นท่าจะไม่ดี จึงต้องทำให้เกิดเรื่องมาเตือนสติ

เรื่องมีอยู่ว่า สองสามเดือนก่อนผมได้รับโทรศัพท์มาตามขายสมาชิกคลับของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง แปลกใจว่าไปได้ชื่อและเบอร์โทรมาได้อย่างไร ถามไปถามมาจึงถึงบางอ้อว่ามีสาเหตุมาจากนามบัตร

นึกย้อนกลับไปเมื่อครั้งสมัยเรียนหนังสือผมเคยทำนามบัตรไว้อำคนเล่น แต่ไม่คิดว่าเจ้านามบัตรเหล่านั้นจะยังลอยไปลอยมา ไม่ถูกทิ้งไปไหนต่อไหน กลับถูกเปลี่ยนมือตกทอดกันไปอยู่ในมือของนักขายท่านนี้ เธอก็ช่างน่ารักเหลือเกิน มีความพยายามในการขายไม่ลดละ ก็บนหน้าบัตรมันเขียนว่าประธานกรรมการ แหม ตำแหน่งใหญ่เอาการเชียวนา

หลังจากบอกปัดและวางหูโทรศัพท์ ในฐานะที่เป็นนักออกแบบ มันทำให้คิดได้ว่าพลังแห่งการแนะนำและชี้ชวนของนามบัตรมีมากแค่ไหน และที่สำคัญมันทำงานเป็นโฆษณาชวนเชื่อก็ได้เช่นกันพอคิดได้ก็เลยนึกถึงบรรดานักออกแบบเอง ที่เดี๋ยวนี้ก็มีวัฒนธรรมการดำรงตำแหน่งแปลกๆ บนนามบัตรที่ได้มาโดยเฉพาะพักหลังนี้ อย่างต่ำทุกคนมีตำแหน่งเป็นอาร์ตไดเร็คเตอร์กันหมด สงสัยเหมือนกันว่าไม่มีใครเป็นดีไซน์เนอร์เลย แล้วอาร์ตไดเร็คเตอร์เหล่านั้นไปกำกับใครกันหนอ

เป็นเรื่องแปลกแต่จริง ที่คุณสามารถอุปโลกน์ตนเองให้มีตำแหน่งหน้าที่อย่างไรก็ได้บนหน้าบัตรนี้ บางครั้งตำแหน่งบนนามบัตรมันก็อาจจะเป็นตำแหน่งจริงๆ แต่ทางพฤตินัยนั้นมันจะเป็นอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง

เรื่องชวนให้คิดเกี่ยวกับนามบัตรวิ่งมาชนผมอีกครา เห็นจะเป็นตอนที่ไปงานแสดงสินค้าส่งออกในวันเจรจาการค้ากับอีกสองเกลอที่ทำงานบริษัทในเครือมือถือยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ผมเกิดสนใจกับสินค้าชิ้นหนึ่งจึงเข้าไปสอบถาม พูดคุยกันอยู่สองสามประโยคก็มาถึงวาระของการยื่นนามบัตร เขาเริ่มสอบถามสำรวจความจริงจังของผม และผมก็เดินจากมาด้วยความผิดหวังตะหงิดๆ ที่ความสนใจของผมไม่ได้รับการตอบสนองจากการพยายามขาย เดินไปบ่นไป เพื่อนเกลอจึงลากผมกลับไปยังบูธเดิมที่ว่า แนะนำตัวด้วยการยื่นนามบัตรของบริษัทยักษ์ใหญ่ต้นสังกัด ท่าทีเธอเปลี่ยนไป …โอ้ เธอเปลี่ยนไปนะ เธอเปลี่ยนไป

เออ…ภาพพจน์และชื่อเสียงของต้นสังกัดถูกนำมาแนะนำตัวและรับรองบุคคลด้วยกระดาษใบเล็กๆ หนึ่งใบ ความเชื่อถือไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวบุคคลในสภาพการลักษณะนี้ นั่นน่ะสินะใครมันจะมารู้จักบริษัทออกแบบเล็กๆ แถวซอยทองหล่อ

มองกลับมาในโลกการทำงานของนักออกแบบ หลายต่อหลายครั้งที่ออฟฟิศได้งานออกแบบโลโก้ องค์กรบริษัทต่างๆ เดี๋ยวนี้เกือบร้อยทั้งร้อยมาพร้อมกับการออกแบบหัวจดหมายและนามบัตร ผมว่าบ้านเราพัฒนาไปมากแล้วในเรื่องภาพพจน์พื้นฐานขององค์กร เมื่อเทียบกับสิบกว่าปีที่แล้ว ช่วงเวลานั้นการออกแบบโลโก้อันละพันสองพันในเวลาสองวันเป็นเรื่องปกติ “คุณมาเก็บเงินอีกสองเดือนนะ ขอบคุณมาก เราจะเอาไปทำนามบัตรด่วนแถวมาบุญครองเอง” ผมว่าบริษัทห้างร้านต่างๆ เข้าใจความสำคัญของภาพพจน์และนามบัตรมากขึ้นกว่าแต่ก่อน อาจจะยังไม่ดี แต่ก็ดีขึ้น เมื่อมองกลับไปจากตรงนี้

สำหรับออฟฟิศขนาดเล็กของผมและผองเพื่อน เราต่างเป็นโรคขี้เบื่อนามบัตรบริษัท เราเพียรขยันเปลี่ยนทุกสองปี อยากจะเปลี่ยนมันทุกปีเหมือนกันแต่ดูจะระห่ำเกินไป

เราลงทุนกับนามบัตรเพราะมันคือหน้าตา มันคือบุคลิกขององค์กร มันคือกระดาษชิ้นเล็กๆ ที่อัดแน่นไปด้วยข้อมูลในการติดต่อ หลายๆ ครั้งที่มันเป็นตัวเชื่อมให้เกิดลูกค้าใหม่ เกิดการแนะนำโดยส่งผ่านมือต่อมือกันไป ลูกค้าเก่าก็ไม่ลืมเราเพราะเราปรับปรุงข้อมูลบนนามบัตรให้ถูกต้องอยู่เสมอ

หลายต่อหลายครั้งที่เราพบว่า ลูกค้าคิดว่าเราเป็นบริษัทขนาดใหญ่กว่าที่เราเป็น ก็เพราะนามบัตรนี่ล่ะอย่างที่ว่าล่ะครับ

ผมเก็บนามบัตรที่ดูดีไว้ ที่จริงมันก็สามารถเป็นของสะสมได้เหมือนกัน ถ้าจะคิดในแนวงานอดิเรก ถึงแม้บางใบจะไม่ได้มีธุระต้องติดต่อกลับ แต่ก็พอสรุปได้ว่านามบัตรใบนั้นประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานของมัน ใครจะไปรู้ สักวันอาจจะมีความจำเป็นต้องใช้ก็ได้ ผมว่านามบัตรดูดีมันก็เหมือนคนหน้าตาดีประมาณนั้น ง่ายต่อการจดจำ ยากต่อการโยนทิ้ง หน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง เออคำกล่าวนี้ใช้กับนามบัตรก็ได้ด้วยสิ