➜ จากความคุ้นเคยในการใช้งานแบบตัวอักษรผ่านแถบเมนูที่มีให้เลือกน้ำหนักแบบ บาง กลาง หนา ถึงขั้นซับซ้อนมากขึ้นหน่อยก็เป็นบาง เบา เอียง ธรรมดา หนา หนัก แต่เมื่อช่วงปลายปี 2016 เราเริ่มได้เห็นการเลือกแบบน้ำหนักสำหรับตัวอักษรที่ปรากฏวิธีการแบ่งแบบใหม่เป็น 100 200 300 จนถึง 1000 ทั้งด้านข้างยังมีแถบสไลด์ระดับที่ปรับให้เห็นการแสดงผลแบบเรียลไทม์
นี่คือตัวอย่างการใช้งานเทคโนโลยีตัวอักษรที่เรียกว่า Variable font
ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 14 กันยายน 2016 ได้เกิดข้อตกลงร่วมระหว่างผู้ผลิตเทคโนโลยี 4 ค่ายยักษ์ใหญ่อย่างอะโดบี้ (Adobe), แอปเปิ้ล (Apple), กูเกิ้ล (Google) และไมโครซอฟต์ (Microsoft) เพื่อเปิดตัวเทคโนโลยีนี้ หลังจากการเปิดตัว Opentype เมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว มาถึงในตอนนี้ก็คือเวอร์ชั่น 1.8 สเปกซิฟิเคชั่น แสดงให้เห็นว่าฟอนต์คือกุญแจสำคัญในการจัดเก็บและแสดงผลข้อมูลทุกอย่าง ด้วยบริบทพฤติกรรมการรับสารผ่านอุปกรณ์ที่เป็นหน้าจอหลายขนาด โทรศัพท์ แท็บเล็ต เดสก์ท้อป แลปท้อปในปัจจุบัน ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีการออกแบบหน้าเว็บไซต์ที่รองรับต่อหน้าจอที่หลากหลาย (Responsive Web Design) เพื่อประยุกต์เข้ากับอุปกรณ์ต่างๆ ในเชิงการจัดวางเลย์เอาท์ที่รองรับหรือลื่นไหล นอกเหนือความต้องการแบบตัวอักษรที่หลากหลายแล้ว โลกใหม่ได้สร้างทั้งเงื่อนไขและความเป็นไปได้ในการใช้งานน้ำหนักตัวอักษรด้วยเช่นกัน ทำให้วิธีการแบ่งน้ำหนักแบบเดิมนั้นไม่เพียงพอต่อการแสดงผลบนอุปกรณ์ที่หลากหลายอีกต่อไป การมีน้ำหนักที่เหมาะสมเพื่อคงไว้ซึ่งเจตนาของทั้งผู้สร้างเนื้อหาและนักออกแบบจึงต้องมีความยืดหยุ่นมากเพียงพอต่อการใช้งาน
What is Variable Font?
OpenType Variable Font คือเทคโนโลยีตัวอักษรที่ฟอนต์จะมาในลักษณะไฟล์เดี่ยวและครอบคลุมทุกขนาดความหนาและความกว้างตามที่ฟอนต์นั้นๆ มีแกนรองรับ ถ้าหากนักออกแบบตัวอักษรเข้าใจหลักเบื้องต้นของ MM หรือ Multiple Masters ที่แต่ละแกนจะมีความหลากหลายที่แตกต่างกันระหว่างสุดขอบของการออกแบบตัวอักษร เทคโนโลยีนี้อนุญาตให้เกิดความเป็นไปได้ที่หลากหลายภายใต้แกนกลางของการออกแบบสำหรับชุดอักขระทั้งหมดหรือแค่อักขระเดียว เพื่อให้รูปร่างของอักขระพื้นฐานสามารถเปลี่ยนแปลงด้วยการทดแทนด้วยพื้นที่
เมื่อฟอนต์มีเพียงเวกเตอร์แกน ทำให้ Variable Font มีน้ำหนักไฟล์ที่เบาลง ใช้ดาต้าจำนวนน้อยลง ส่งผลการดาวน์โหลดหน้าเว็บรวดเร็วมากขึ้น ประหยัดทรัพยากร เพราะเช่าพื้นที่แบนด์วิทน้อยลง เมื่อนั้นหน้าตาเว็บไซต์จึงเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ที่มากขึ้น
นักออกแบบหรือโปรแกรมเมอร์สามารถเขียน CSS เรียกน้ำหนักหรือความกว้างของแบบที่ต้องการได้ โดยไม่จำเป็นต้องเรียกไฟล์แยกจากกันในแต่ละน้ำหนัก การ interpolate จึงเป็นไปแบบเรียลไทม์ อีกทั้งยังสามารถใช้ CSS ในการทำลูกเล่นอื่นๆ ได้อย่างมากมาย อย่างเช่น 1) การเปลี่ยนขนาดความหนาโดยที่ไม่เสียความกว้าง เขียนให้ฟอนต์แสดงผลเคลื่อนไหวจากบางไปหนา 2) เปลี่ยนความหนาหรือความกว้างได้ตามเวลาและสภาพแสงที่กำหนด 3) การตัดคำที่พอดีกับกรอบเดิมเมื่อพลิกหน้าจอนอน-ตั้ง ด้วยความยืดหยุ่นที่จากคุณสมบัติของฟอนต์ที่ช่วยเกลี่ยน้ำหนัก ช่องไฟ เพื่อให้ประโยคนั้นๆ พอดีกับพื้นที่ที่มี ส่งผลให้ความเร็วในการอ่านเป็นไปอย่างเร็วที่สุด และเกิดประสบการณ์ในการรับสารอย่างถูกต้อง
Why now?
เช่นเดียวกับการขับเคลื่อนความเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ในธุรกิจแบบตัวอักษร ปัจจัยที่มีผลมากที่สุดก็คือเว็บฟอนต์และความต้องการความสะดวกสบายที่มากขึ้นของผู้ใช้ คุณสมบัติของ Variable Font อย่างขนาดไฟล์ที่เล็กหรือความเร็วในการขนส่งอันรวดเร็วจึงเป็นประโยชน์สำคัญสำหรับการฝังฟอนต์ลงในอุปกรณ์ โดยเฉพาะกับแบบอักษรเอเชียตะวันออก CJK: Chinese Japanese Korean และฟอนต์อื่นๆ ที่มีอักขระจำนวนมาก
การตกลงร่วมกันของ 4 บริษัทมาตกลงนั้นเป็นไปเพื่อให้เกิดมาตรฐานการใช้งานเดียวกัน จากที่เคยเป็นการแข่งขันเพื่อแย่งชิงพื้นที่ในการเป็นเจ้าของฟอร์แมทฟอนต์มาตลอดช่วงยุคปี 1990s แต่เมื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้งานเป็นสำคัญ การตกลงร่วมมือกันจึงไม่ได้เป็นแค่การกำหนดนิยามมาตรฐาน แต่ยังเป็นการปรับใช้งานร่วมกันในระยะยาวอีกด้วย
Endless possibilities
ผู้ใช้งานอ่านสบาย นักออกแบบมีทางเลือกหลากหลาย โปรแกรมเมอร์มีความเป็นไปได้ เหล่านี้เป็นเพียงต้นทางของประโยชน์จาก Variable Font เท่านั้น ผู้ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงคือ กูเกิ้ล ที่จะได้รับข้อมูลจำนวนมากมาป้อนให้ AI ของตัวเองได้เพิ่มความสามารถในการเข้าใจภาษามากขึ้น
ข้อมูลสำหรับ AI กูเกิ้ลในอนาคตคือการบันทึกเป็นรหัสตัวอักษรบนข้อตกลงยูนิโค้ด ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากในการป้อนข้อมูลหรือในการการเรียนรู้ของ AI จากข้อมูลในอินเทอร์เน็ต อย่างเช่นตัวอักษรที่ปรากฏอยู่ในภาพ ความสามารถในการแยกตัวอักษรออกจากรูปนั้นจึงเป็นไปเพื่อให้สร้างข้อความเฉพาะให้ตรงกับการสื่อสารได้โดยใช้ภาพเดิม โดยที่ AI สามารถเข้าใจข้อความและอาจจะรวมถึงความรู้สึกจากแบบตัวอักษร การจะทำได้เช่นนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่คอมพิวเตอร์จะต้องเข้าใจความหลากหลายของรูปทรงตัวอักษร
Variable Font จึงเป็นการพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างเสริมความสามารถ ก้าวข้ามข้อจำกัด และแสดงให้เห็นความเป็นไปได้อันไม่สิ้นสุดในอนาคตอันใกล้นี้