คนทำอิฐ • ตอนที่ ๑

บันทึกจากบทสัมภาษณ์กับนิตยสาร Way ฉบับที่ 89
เรื่อง วีรพงษ์ สุนทรฉัตราวัฒน์/ ณขวัญ ศรีอรุโณทัย/ ชิน เอกก้านตรง/

➜ หากนักเขียนคือสถาปนิกผู้ใช้ภาษาในการสร้างข้อความ กราฟิกดีไซเนอร์ก็เป็นดั่งคนสร้างบ้านให้แก่ข้อความปรากฎอย่างสวยงามบนหน้ากระดาษ และวัสดุอุปกรณ์ของกราฟิกดีไซเนอร์ก็คือ แบบตัวอักษร (typeface)

อนุทิน วงศ์สรรคกร เป็นนักออกแบบตัวอักษร และผู้ร่วมก่อตั้ง ‘คัดสรร ดีมาก’ บริษัทออกแบบตัวอักษร และออกแบบเรขศิลป์เพื่อวางแผนการสื่อสารองค์กร ไม่ว่าเราจะคุ้นชินกับการใช้ฟอนต์ฟรีแค่ไหนก็ตาม มากกว่าหนึ่งครั้งที่ ‘type designer’ อย่างเขาบอกว่า “ของฟรีไม่มีในโลก”

คัดสรร ดีมาก ออกแบบตัวหนังสือสำหรับองค์กรที่มองเห็นรายละเอียดของการสื่อสารและประชาสัมพันธ์ พูดง่ายๆ ว่าหากคุณมองเห็นคุณค่าว่าแบบตัวอักษรสามารถเป็นภาพแทนสุ้มเสียง อัตลักษณ์ หรือแม้กระทั่งตัวตนขององค์กร ความพิถีพิถันในการเลือกสำเนียงเสียงผ่านแบบตัวอักษรจึงจำเป็น

“คนชอบคิดว่าเราไม่ได้ทำงานออกแบบตัวอักษรแบบเต็มเวลา เราทำงานออกแบบตัวอักษรเต็มเวลาครับ ซึ่งอยู่ได้ครับ” อนุทินบอก “ส่วนทางฝั่งออกแบบการสื่อสารและกลยุทธ์การสื่อสารที่ คุณพงศ์ธร หิรัญพฤกษ์ ดูแลอยู่ก็จะเป็นอีกส่วน ซึ่งเป็นอีกลักษณะของกลุ่มงาน ก็สามารถดำเนินอยู่ได้โดยมีอิสรภาพซึ่งกันและกัน รายได้ที่แต่ละดีพาร์ทเมนท์ได้มาก็ทำให้ดีพาร์ทเมนท์นั้นๆ อยู่ได้ ส่วนเรื่องกิจกรรมเป็นเรื่องที่เราชอบและรักที่จะทำอยู่แล้ว ก็เลยจำเป็นต้องบริหารจัดการให้มันเป็นไปได้เกิดขึ้นได้ในทางเศรษฐศาสตร์”

กิจกรรมด้านวิชาการและการศึกษาจึงเกิดขึ้นและเป็นไป เขาเชื่อในการกระจายองค์ความรู้ผ่านกิจกรรมรูปแบบต่างๆ ทั้งในแบบความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐหรือเอกชน เช่น งานภาวะผู้นำทางการออกแบบ (Design Leaderships Thailand) ปี 2553 และ งานสัมมนาวิชาการอักขรศิลป์นานาชาติ กรุงเทพฯ (BITS)

อย่างที่บอก อนุทินไม่เชื่อว่าของฟรีมีในโลก กิจกรรมความรู้ด้าน type design ที่จัดขึ้นจึงมีค่าใช้จ่าย แต่เขาเชื่อในระบบเปิดของความรู้ แม้จะมองว่ามีข้อจำกัดอยู่มากในระบบการศึกษาไทย และนี่คือเหตุผลหนึ่งที่เขาไม่ขอดูทรานสคริปต์หรือพอร์ตโฟลิโอของพนักงาน แต่เลือกที่จะถามผู้เข้ามาสมัครงานที่คัดสรร ดีมาก ว่า “ทำแซนด์วิชกินเองไหม”

มากกว่าหนึ่งครั้งเช่นกัน อนุทินนิยามว่างานของเขาคือการทำอิฐให้กราฟิกดีไซเนอร์เลือกใช้สอยไปสร้างบ้านให้ข้อความ “เพราะครึ่งหนึ่งของงานกราฟิกดีไซน์คือตัวหนังสือ ถ้าตัวหนังสือไม่ดี งานออกแบบจะดีได้อย่างไร”

นี่คือเหตุผลว่าทำไม กราฟิกดีไซเนอร์ทั้งสองคนของ WAY จึงเข้ามามีบทบาทในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ เพราะเนื้องานหนึ่งของพวกเขาคือการเลือกใช้สอยอิฐที่เหมาะสม นำมาเรียงร้อยและส่งเสริมให้ข้อความของนักเขียนสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ

พวกเรา-สถาปนิกและคนสร้างบ้านจึงเดินทางไปพบคนทำอิฐ

+ พวกเราเดินทางจากลาดพร้าวซอย 101 มาพบคุณที่ทองหล่อซอย 4 ระหว่างเดินทางร้านรวงสองข้างทางทำให้เกิดคำถามว่าเพราะอะไรแบบตัวอักษรบนป้ายการค้าหรือการออกแบบร้านรวงย่านถนนลาดพร้าวจึงสร้างอารมณ์หรือให้ความรู้สึกที่แตกต่างเหลือเกินเมื่อเทียบกับทองหล่อ

ถ้ามองกรุงเทพฯเป็นหน่วยๆ ที่มาประกอบกัน และทุกย่านในกรุงเทพฯก็คือส่วนประกอบต่างๆ ที่รวมเป็นหน่วยเดียวนี้ ในแต่ละย่านของกรุงเทพฯต่างมีวิธีการสื่อสารไม่เหมือนกัน ลาดพร้าวก็มีคาแรคเตอร์ของกิจการหรือพื้นที่อยู่อาศัยอีกแบบหนึ่ง ฉะนั้นคาแรคเตอร์ของพื้นที่ก็เหนี่ยวนำการดีไซน์อีกแบบ ผมพูดถึงดีไซน์โดยทั่วไป ไม่ได้พูดถึงการออกแบบตัวอักษร (type) เพียงอย่างเดียว การออกแบบก็ล้วนเป็นไปตามมนุษย์ที่อยู่ในพื้นที่นั้น ผู้คนในแต่ละพื้นที่มีแนวโน้มที่จะเลือกตัวหนังสือมาใช้อย่างแตกต่างกัน

ผมคิดว่าทั้งสถาปัตยกรรม ผังเมือง ล้วนเกี่ยวโยงและส่งผลต่อวิธีคิดและพฤติกรรมของผู้คนในพื้นที่

นอกเหนือจากนี้ยังมีมิติประวัติศาสตร์ของพื้นที่ พื้นที่นี้เคยเป็นอย่างไรมาก่อน บางพื้นที่เป็นย่านการค้า บางพื้นที่เป็นเมืองที่เกิดขึ้นใหม่ บางพื้นที่เป็นย่านเก่าแก่ แต่ละพื้นที่มีฟังก์ชันไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นพื้นที่ก็ดึงดูดผู้คนไม่เหมือนกัน แต่ถ้าให้ผมเจาะจงลงมาในเรื่องของแบบตัวอักษร ผมคิดว่ารูปแบบกิจการกับลักษณะความเป็นอยู่ของผู้คนในแต่ละย่านก็เรียกร้องแบบตัวหนังสือที่ต่างกัน ผมคิดว่าลาดพร้าวกับทองหล่อไม่ได้แตกต่างกันมากแบบคนละขั้ว แต่ถ้าเปรียบเทียบทองหล่อกับสำโรง พระโขนง หรืออ่อนนุช อาจจะเห็นได้ชัดกว่าด้วยซ้ำไปทั้งๆ ที่กายภาพอยู่ถัดกันมา เราอาจจะเจอภาษาพม่า หน้าจอตู้เอทีเอ็มมีสามภาษา ไทย จีน พม่า ภาษาก็เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่แสดงว่าใครอยู่ในพื้นที่ รวมถึงรูปแบบของกิจการ

+ ถ้าตัวหนังสือเป็นภาพแทน เป็นการแสดงคาแรคเตอร์ ขออนุญาตถามคำถามแนวๆ นะครับ ว่าหากให้คุณเลือก typeface สักตัวหนึ่งที่เป็นตัวแทนของย่านทองหล่อ คุณจะเลือก typeface ตัวไหน

เปรียบเทียบย่านทองหล่อเป็น typeface เหรอ ตอบไม่ได้หรอก ผมยังไม่รู้เลยนะว่า identity ของทองหล่อจริงๆ แล้วคืออะไร ผมรู้สึกว่าทองหล่อเป็นย่านชั่วคราว…ก็ตลกดีนะ บ้านผมจะอยู่ตรงแถวๆ ร้านนั่งเล่น เวลานั่งแท็กซี่ก็จะบอกว่าไปตรงนั่งเล่น ไม่น่าเชื่อ แท็กซี่ทุกคันจะรู้จักนั่งเล่นทั้งนั้นเลย ผมก็ถามว่าทำไมรู้จักร้านนั่งเล่น พวกเขาไปส่งคนที่นั่นบ่อย บางครั้งรับคนจากรังสิตคลอง 5 หรือบางปู ผมคิดในใจว่าคุณถ่อมานั่งเล่นนี่นะ ตี 3 ก็ตะกายกลับบ้านเหรอ ชีวิตทำด้วยอะไรวะ ผมมองว่าบุคลิกของทองหล่อที่คุณเห็น เกิดจากคนที่อยู่ทองหล่อชั่วคราว ร้อยละ 95 ที่มาดื่มกินกิ๊บเก๋ ไม่ใช่คนในพื้นที่จริง แต่พวกเขาก็เป็นผู้ทำให้ทองหล่อมีค่าและคาแรคเตอร์แบบนี้ คนที่ผ่านไปผ่านมาก็เข้าใจว่านี่คือคาแรคเตอร์ของทองหล่อ

แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่คาแรคเตอร์ของทองหล่อ คาแรคเตอร์ของทองหล่อคือคนที่อยู่ในพื้นที่จริง อันนั้นเป็นเหมือนแค่มะขามคลุกบ๊วย คือได้อีกกลิ่นหนึ่งขึ้นมาเคลือบไว้ ผมคิดว่าต้องมาดู identity ของทองหล่อว่าคืออะไร ร้านอาหารย่านนี้ก็รองรับคนนอกพื้นที่ เพราะคนในพื้นที่ก็ไม่ได้กินแบบนั้นทุกวันหรอก ใครจะไปนั่งกินร้านแบบว่าเก๋ๆ ทุกวัน ก็คงไม่สมจริงกับชีวิตใช่ไหมครับ ผมก็สงสัยว่า identity ของทองหล่อคืออะไร คือย่านสุขุมวิทเก่าเหรอ เป็นชายขอบของย่านสุขุวิทเก่าที่มีคนขายบ้านทิ้ง เพราะอยากได้เงินก้อนแล้วหนีไปอยู่ที่อื่น แล้วปล่อยให้ที่กลายเป็นคอนโด หรือยังไง มองอีกมุมหนึ่งมันก็เป็นทองหล่อที่สวมทับกับทองหล่อที่คุณเห็น

ทองหล่อเดิ้นเหรอ ผมว่าก็ไม่ได้เดิ้นหรอกนะ ทองหล่อดูเดิ้นเพราะถูกทำให้รองรับคนที่รู้สึกว่าอยากจะเดิ้นแล้วมาตรงนี้ ดั้นด้นเอาความเดิ้นยัดใส่กระเป๋าหลุยส์ มาถึงแล้วก็เททิ้งไว้กับขวดเหล้าที่ทองหล่อ ผมว่าโคตรเชยเฉิ่มเบอะเลย จริงๆ เชยจะตาย เป็นวัฒนธรรมฉาบฉวยมากเลย คุณคิดว่าคนขับรถเฟอร์รารีต้องการเคลื่อนย้ายตัวเองจากจุด A ไปยังจุด B เหรอ ก็ใช่นะ แต่ถ้าวิเคราะห์ดูดีๆ เขาขับมาอวดคนที่มาจากต่างถิ่นที่ คาดหวังว่าเข้ามาในทองหล่อจะได้มาเจอสิ่งนี้ แล้วได้รับความรู้สึกนี้กลับไป มันชั่วคราวมาก ถ้าให้เลือกอาจจะต้องฟอนต์อะไรที่ฉาบฉวยนะ แต่นึกไม่ออก เพราะไม่ค่อยได้สนใจฟอนต์กลุ่มนี้ พอเราทำงานมานานเราจะไม่ค่อยมีมุมที่ดีนักในการมองฟอนต์ฉาบฉวย

+ คุณมองเห็นความจำเป็นไหมที่ร้านค้าประเภทรับปะยางต้องใช้แบบอักษรที่มีความสร้างสรรค์

ผมคิดว่ายากถ้าจะต้องตอบคำถามนี้ในเวลานี้ เพราะทุกคนต่างใช้เมนูฟอนต์ในคอมพิวเตอร์ในการเลือก จึงทำให้ความเป็นพื้นที่ชุมชนที่มีขอบเขต หรือความจริงใจของเจ้าของร้านรับปะยางถูกแทนที่ด้วยคอมพิวเตอร์ฟอนต์ ซึ่งถูกเลือกเพื่อแทนเสียงของเขา ฟอนต์ที่เลือกมานั้นอาจไม่ได้เป็นสุ้มเสียงของเขาจริงๆ คุณเคยเห็นร้านปะยางที่แม่งโคตรจริงใจหรือวินมอเตอร์ไซต์ที่โคตรจริงใจเพราะเขียนด้วยลายมือไหม การเขียนด้วยลายมือก็จะให้อีกความรู้หนึ่งนะ แต่ทุกวันนี้ผมว่ากิจการหรือร้านรวงทุกอย่างกลายเป็นคอมพิวเตอร์ฟอนต์หมด ฉะนั้นจึงไม่สามารถสื่อสารสิ่งที่เจ้าของร้านอยากจะสื่อสารได้ 100 เปอร์เซ็นต์หรอก…ถึงได้ ก็แค่ใกล้เคียง เขาอาจจะรู้สึกว่าเลือกฟอนต์ตัวนี้แล้วสามารถอธิบายตัวตนของเขาได้ดีหรืออะไรก็แล้วแต่

นอกจากนี้ ตัวหนังสือก็เป็นตัวบ่งบอกเหมือนกันว่าร้านนี้น่าจะแพง ร้านนี้น่าจะถูก ร้านนี้เถื่อนๆ บ้านๆ นึกออกไหมร้านที่ใช้ฟอนต์อย่างดี พรินท์อิงค์เจต ใช้ตัวหนังสือขนาดโอเวอร์ไซส์ใหญ่คับหน้ากว้างตึกแถว รู้สึกไฮเทครู้สึกหรูหรา มีความเป็นสมัยใหม่ ก็มีแนวโน้มที่จะได้มาตรฐาน ในวิธีการมองและตีความแบบคนทั่วไปในปัจจุบัน ซึ่งก็อาจจะสามารถชาร์จเงินได้มากกว่าร้านที่ใช้สีเหลือมาเขียนบนป้ายสังกะสีแล้วตั้งอยู่กับยางรถยนต์ใช้แล้วใหญ่ๆ นึกออกไหม ทั้งสองร้านนี้คือกิจการเดียวกัน แต่สื่อสารคนละแบบ มีกลุ่มเป้าหมายต่างกัน ถ้าคุณขับรถหรูคุณคงไม่ไว้ใจในการเข้าร้านที่ใช้สีเขียนบนป้ายสังกะสี เว้นแต่ว่าคุณไม่มีทางเลือก ณ จุดนั้น

+ แบบตัวอักษรเกี่ยวโยงกับชนชั้นของคนไหม

อย่าถามว่าเกี่ยวไหมดีกว่า เพราะผมคิดว่าเกี่ยวทั้งนั้นเลย เกี่ยวแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ ต้องเข้าใจก่อนว่าตัวหนังสือหรือฟอนต์เข้ามาทำหน้าที่แทนลายมือ แต่ก่อนนี้เราไม่มีเครื่องพิมพ์ดีด เราไม่มีสิ่งอื่นที่จะช่วยให้เราเขียนได้เร็วขึ้น หรือตีพิมพ์หรือทำซ้ำสิ่งที่เราคิดแล้วถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เราก็ต้องเขียนอย่างเดียว การเขียนก็มีข้อเสียในตัวเองด้วยเหมือนกัน ข้อเสียของการเขียนคือเป็นการทำซ้ำที่สุ่มเสี่ยงต่อการผิดพลาดที่สุด มีปัจจัยผกผันเยอะ เพราะขึ้นอยู่กับคนเขียนมากเกินไป เมื่อการเขียนทำซ้ำได้ยาก การเขียนก็ไม่สามารถกระโจนไปพร้อมกับความคาดหวังของสังคมที่เคลื่อนตัวไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยน ทุกภาคส่วนของสังคมก็ต้องการบางสิ่งที่ทำให้มีอัตราการขับเคลื่อนที่สอดคล้องกัน การพิมพ์จึงต้องเข้ามาแทนที่การเขียน ไม่ว่าจะเป็นการพิมพ์แบบพิมพ์ดีด หรือการพิมพ์ที่เป็นการผลิตซ้ำจำนวนมาก หรืออะไรก็ตาม

ก่อนหน้าเทคโนโลยีการพิมพ์ ถ้าเราต้องการหนังสือเล่มหนึ่ง เราก็ต้องคัดลอกหรือเขียน การเขียนก็มีลักษณะเฉพาะอยู่ในลายมือ วันไหนอารมณ์ดีลายมืออาจจะสวย วันไหนรีบลายมือก็ขยุกขยุย ความสอดคล้องต่อเนื่องก็จะมีน้อย ข้อดีของการพิมพ์มันมีค่าคงที่ตลอด แต่จะขาดอารมณ์ขาดเอกลักษณ์

ทีนี้เมื่อถึงวันที่เรามีฟอนต์และระบบเรียงพิมพ์ นักออกแบบออกแบบสิ่งพิมพ์ก็เข้ามาทำหน้าที่ในการเลือกฟอนต์ให้เราใช้อ่าน แต่ในคอมพิวเตอร์อำนาจนี้ได้ถูกจัดสรรไปให้ปัจเจกอย่างคุณๆ เป็นผู้เลือก โดยคุณไม่ต้องพึ่งทักษะของนักออกแบบอีกต่อไป เราก็เลือกฟอนต์เมนู เราก็ไล่หาว่าฟอนต์ตัวไหนที่พอจะแทนเสียงของเราได้ ผมใช้คำว่า “พอที่จะแทนเสียงของเราได้” เพราะไม่มีฟอนต์ตัวไหนสามารถแทนเสียงของเราได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ผมไม่เชื่อว่าการที่คุณเลือก Angsana New (ทำเชิงอรรถภาพ) ในการพิมพ์ต้นฉบับ เพราะคิดว่าสามารถแทนเสียงคุณได้ แต่เพราะ Angsana New อาจจะถูกมองว่าเป็นเสียงกลางๆ ต่างหาก  หรือปลายทางน่าจะมีฟอนต์เดียวกันจะได้แสดงผลถูกต้อง ถ้าระหว่างการที่ผมเขียนจดหมายฉบับหนึ่งขอบคุณ WAY ที่มาพูดคุย กับพิมพ์ในคอมพิวเตอร์ คุณก็ได้ความรู้สึกคนละแบบถูกไหม ทุกวันนี้ผมเชื่อว่าคุณก็ไม่ค่อยได้เขียนหรอก แต่ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเลิกเขียนไปเลยในชีวิตนี้

พอมาถึงเรื่องงานออกแบบ แทนที่จะเป็นหน้าที่ของเจ้าของกิจการในการเลือก ก็กลายเป็นหน้าที่ของ type designer หรือกราฟิกดีไซเนอร์ แต่จริงๆ แล้วเป็นหน้าที่ของกราฟิกดีไซเนอร์ในการเลือกตัวอักษรมาเป็นตัวแทนเสียงนั้นๆ ก็เหมือนอาเฮียที่ร้านปะยางอาจจะลองไล่ดูฟอนต์เมนูด้วยตนเอง แล้วก็เลือกเสียง (ฟอนต์) ที่คิดว่าแทนเสียงเขาได้ ซึ่งเขาอาจไม่ได้คิดมากก็ได้ บางคนก็อาจอยากได้ตัวหนาๆ อาจจะไม่ได้มีกระบวนการอะไรมากมาย เลือกเท่าที่มี ใช้เท่าที่มี แต่ไม่ว่าจะเป็นอาเฮียร้านปะยางหรือเลขาฯหน้าห้องก็ต้องใช้คอมมอนเซนส์ในการเลือก ผมว่าคอมมอนเซนส์ตรงนี้มีอยู่ในทุกคนอยู่แล้ว

เลขาฯหน้าห้องหรือครูประจำชั้นโรงเรียนอนุบาลจะทำพรีเซนเตชั่นหรือจัดบอร์ดที่โรงเรียน ก็คงจะไม่ใช่ฟอนต์ที่แบบว่า.. (ฟอนต์สุขุมวิท – พนักงานกล่าวแทรก) (ทำเชิงอรรถภาพฟอนต์สุขุมวิท) ใช่ไหม มันก็คงจะไม่เมคเซนส์ ผมว่าเรามีความเชื่อมโยงตรงนี้อยู่นะ มันเป็นเนื้องอกหรือพัฒนาการที่เรามีร่วมกัน เหมือนมีคอมมอนเซนส์ว่ามันน่าจะประมาณนี้

+ อะไรทำให้ตัวอักษรเกี่ยวโยงกับช่วงชั้นของคนในสังคม

สมมุติคุณอยู่ในสิ่งแวดล้อมแบบหนึ่ง สิ่งแวดล้อมที่ไม่มีหนังสือแบบ WAY ให้เขาอ่าน สมมุติว่าเป็นสิ่งแวดล้อมแบบต้องอ่านจากใบลานเท่านั้น มันไม่ได้มีการเผชิญหน้ากับตัวหนังสือแบบเดียวกับตัวหนังสือที่ WAY ปะทะ พอเขามาเจอตัวหนังสือแบบนี้ เขาก็จะรู้สึกแปลกแยก อาจจะอ่านได้ แต่เขาจะรู้สึกแปลกแยก

ผมคิดว่าแต่ละวัฒนธรรมย่อยหรือแต่ละชั้นของคนในสังคมต่างมีความชอบไม่เหมือนกัน มีลักษณะการเลือกไม่เหมือนกัน คนที่อยู่ชั้นบนเขาก็อาจจะมีโอกาสได้พบเจอกับตัวหนังสือที่หลากหลายมากกว่า ความยืดหยุ่นในการรับรู้ก็มีแนวโน้มจะมีมากกว่า ฟอนต์ที่ตกขอบมากๆ ถึงฟอนต์ที่โคตรจะ สามัญสุดๆ เขาก็อาจะรับได้หมด แต่ในขณะที่คนที่อยู่ห่างไกล ในหมู่บ้านมีห้องสมุดแห่งเดียว ไม่เคยเจอ ความหลากหลายของสิ่งพิมพ์ เขาไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบบตัวหนังสืออื่นที่ไม่คุ้นตา ก็จะเกิดความรู้สึกว่าอ่านยาก

ถ้าคุณอยู่ในกรุงเทพฯ ผมเชื่อว่าคุณมีปฏิสัมพันธ์กับแบบตัวหนังสือต่างๆ ที่หลากหลายมากกว่า…แน่นอน เมื่อไปต่างจังหวัดคุณก็จะเจอกับการใช้แบบตัวอักษรอีกแบบ แต่ทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตทำให้คนต่างจังหวัดรู้ว่าคนกรุงเทพฯอยู่กับอะไรบ้าง คนนิวยอร์กอยู่กับอะไรบ้าง ผมคิดว่าระดับความแตกต่างในการรับรู้ตรงนี้มันเริ่มหลอมรวมกัน คนอยู่ลำปางก็ใช้แมคอินทอช เปิดฟอนต์เมนูมาก็มีให้เลือกใช้เหมือนกัน คุณจะใช้ Helvetica (ทำเชิงอรรถอธิบาย) ที่ลำปาง หรือจะใช้ Helvetica ที่เอธิโอเปีย หรือจะใช้ Helvetica ที่นิวยอร์ค ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนคุณสามารถที่จะมีเสียงเดียวกันได้ ช่องว่างตรงนี้ก็น้อยลง

+ คุณคิดอย่างไรกับลักษณะเฉพาะของตัวอักษรบนป้ายหรือการออกแบบป้ายต่างๆ ที่มีอยู่มากมายในสังคมไทย

ผมคิดว่าเป็นแพทเทิร์นเดียวกัน โลกเหมือนจะเป็นโลกใบเดียวกันเพราะเทคโนโลยี การเข้ามาของคอมพิวเตอร์ได้ทำลายความเป็นพื้นถิ่นหรือลักษณะเฉพาะถิ่น แต่ผมไม่ได้มองในแง่ลบนะ มันอาจจะทำลายเพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ก็ได้ หรือทำลายให้เสียหาย แต่ที่แน่ๆ เทคโนโลยีทำให้เกิดการสร้างสรรค์ในแบบที่ไม่ได้ผ่านระบบการเรียนรู้การออกแบบอุดมศึกษาหรือเทคโนโลยีมีจำนวนน้อยลง ผมว่าผู้คนก็คงไม่มีเวลามากด้วยมั้ง ถ้าจะเขียนป้ายด้วยลายมือ แล้วต้นทุนก็น่าจะสูงกว่าด้วย คอมพิวเตอร์ทำให้ต้นทุนต่ำลง งานผลิตเนี้ยบขึ้น จะเอากี่ก็อปปี้ก็ได้ เอกลักษณ์ของความเป็นพื้นถิ่นก็น้อยลงไปเพราะแลกกับสิ่งเหล่านั้น ผมว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ได้เป็นเฉพาะเมืองไทยหรอก อย่าคิดว่าเป็นสถานการณ์เฉพาะ แบบที่เราชอบคิดกับประเทศเราว่าเป็นเคสพิเศษไปหมดทุกอย่าง

+ แต่เวลาเราพูดถึงร้านทอง ฟอนต์ร้านทองลอยมาเลย ทั้งๆ ที่คอมพิวเตอร์สามารถทำได้ คือจะใช้ฟอนต์แบบอื่นก็ได้ ทำไมร้านทองยังใช้ฟอนต์หน้าตาประมาณเดิมอยู่

เพราะว่าเขาต้องการยืนยันสปิริตเดิม ประกอบกับว่าเขาอาจจะหาคนทำตัวอักษรไม้แบบขึ้นรูปได้ยากขึ้น หรือหาไม่ได้เลย เมื่อก่อนนี้ป้ายร้านทองจะเขียนตัวหัวนกหรือเขียนตัวจีน ซึ่งก็บอกอะไรเราหลายอย่างนะ คือเรื่องการซ้อขายทองอยู่ในมือคนจีนไง มันมีปรากฎการณ์ทางสังคมและเศรษฐศาสตร์ยึดโยงอยู่ แต่ก่อนอาจจะต้องใช้วิธีการแกะไม้ขึ้นรูป แต่ทุกวันนี้ใช้วิธีพรินท์อิงค์เจ็ตบ้าง ตัดสติกเกอร์บ้าง ใช้เลเซอร์ตัดอะคริลิคบ้าง วัตถุดิบเปลี่ยนไป แต่เขายังต้องการสปิริตเดิมอยู่ เพราะอะไร เพราะว่าเวลาคนจดจำร้านทอง เขาไม่ได้จดจำว่าเป็นร้านทองร้านนี้หรอก เขาจำที่สี จำลักษณะตัวหนังสือที่ใช้ ถามว่าคุณทำร้านทองแล้วจะใช้ฟอนต์แบบกิติธาดา (ทำเชิงอรรถภาพ) ได้ไหม ผมคิดว่าได้นะ แต่คุณต้องสื่อสารเยอะกว่าร้านทองที่ใช้ตัวหัวนก เพราะตัวหัวนกคือความหมายแทนร้านทองมานานแล้ว มันผ่านเวลาและเกณฑ์ความชอบธรรม

+ สำนักงานกฎหมายละครับ ถ้าใช้ตัวเอน จะมีผลต่อความไว้เนื้อเชื่อใจไหม

ถ้าให้ผมตอบแบบอุดมศึกษา ถ้าคุณจะทำป้ายชื่อธนาคารคุณคงไม่ใช้ตัวอักษรที่มันล้มๆ สาเหตุเพราะคุณอยากให้ธนาคารดูน่าเชื่อถือ คำตอบแบบนี้ก็มีความจริงอยู่นะ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทำไม่ได้เลย ผมคิดว่าตัวเอน (Italic) ไม่ได้หมายความว่ามันอ่อนแอ…เสมอไป ต้องวรรคนะ ไม่ได้หมายความว่ามันอ่อนแอ วรรค เสมอไป หรือวงเล็บ เสมอไป ในฐานะที่เราเป็น type designer เราสามารถทำตัวเอียงให้ดูเสถียรให้ดูมั่นคงได้ เพียงแต่ว่าตัวเอนที่สื่อถึงความอ่อนแอเป็นคอมมอนเซนส์ทั่วไป เหมือนคุณเรียน typography 101 เขาต้องสอนคุณแบบนั้นเพราะเป็นเรื่องพื้นฐาน เป็นคำตอบแบบสำเร็จรูป คล้ายๆ กับว่าสีแดงหมายถึงเร่าร้อน มันเป็นคำตอบพื้นฐานของการเรียนทฤษฎีสีใช่ไหม แต่ไม่ได้หมายความว่าสีแดงมีความหมายเท่ากับเร่าร้อน

พูดถึงเรื่องนี้ ผมคิดว่าไม่เฉพาะการเรียนออกแบบนะ แต่การเรียนทั่วไปเลยแม่งติดกับดักภาษา ไม่ฟังเอาใจความ พอตอบแบบไหนก็ยึดเอาแบบนั้น สีแดงหมายถึงเร่าร้อนก็ท่องไปจนเกษียณอายุ ทุกวันนี้บางคนยังขายงานแบบนั้นอยู่เลย เขาแค่ยกตัวอย่างให้ฟังว่าสีแดงเป็นสีโทนร้อน นี่คือข้อเท็จจริง แต่มันไม่ได้หมายความว่าเร่าร้อนเสมอ สีแดงเป็นสีโทนร้อนเมื่อเทียบกับสีฟ้า สีแดงซึ่งเป็นสีโทนร้อนมีความน่าจะเป็นในการเร้าความรู้สึกตื่นเต้นได้มากกว่าเมื่อเทียบกับสีโทนเย็น อันนี้เป็นข้อเท็จจริง แต่ไม่ได้เร่าร้อนในความหมายของสีแดงที่เป็นคำตอบตายตัว

+ คุณประชา สุวีรานนท์ (นักออกแบบ – อ้างอิงจากบทสัมภาษณ์ในนิตยสาร WAY ฉบับที่ 44 ) เคยบอกว่า หน้าที่ของนักออกแบบคือเล่นกับภาพอุดมคติที่เป็นชุดความคิดสำเร็จรูป ในการออกแบบตัวอักษร มีชุดความคิดสำเร็จรูปไหนบ้างที่คุณคันไม้คันมืออยากจะเล่นกับมัน

ผมว่าสังคมนี้แม่งมีความคิดตายตัวหมดแหละ ความดีแม่งก็มีชุดเดียว ไม่ค่อยยอมรับความหลากหลายทางพันธุกรรม มีคนคิดว่าตัวอักษรไทยต้องมีหัวกลม ถ้าไม่มีหัวกลมไม่ใช่ภาษาไทย แต่คุณกำลังหมายถึงตัวหนังสือไทยช่วงไหน ตัวหนังสือไทยช่วงต้นอยุธยาก็ไม่ได้เป็นแบบทุกวันนี้นะ ตอนสุโขทัยก็ยิ่งไม่ได้เป็นแบบนี้นะ ถ้าคิดว่าสุโขทัย อยุธยา กรุงเทพฯเป็นประเทศเดียวกันกูว่ามึงก็บ้าแล้ว…ใช่ป่ะ

โอเคกู บ้าไปกับมึงก็ได้ว่าสามอาณาจักรนี้เป็นประเทศเดียวกัน ถ้านั่งไทม์แมชชีนกลับไปยุคสุโขทัยคุณคิดว่าจะอ่านตัวหนังสือไทยออกไหม…ไม่ออกหรอก มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว ทุกอย่างมีการเดินทางของมัน แล้วถามว่าคาแรคเตอร์ที่คุณเห็นในศิลาจารึกหรืออะไรก็ตาม ศิลาจารึกนั้นจะจริงหรือไม่จริงก็อีกเรื่องหนึ่งนะ ไปดูศิลาจารึกคุณอ่านออกไหม อ่านไม่ออกไง คุณต้องมีการปริวัตรภาษามาเป็นภาษาปัจจุบันจึงจะอ่านออก แล้วคุณจะมาพูดทำไมว่าตัวหนังสือไทยต้องมีหัวกลม เพราะสาระสำคัญไม่ได้อยู่ที่ตัวหนังสือไทยมีหัวหรือไม่มีหัว แต่อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาของตัวหนังสืออันนี้สัจจะ ตัวหนังสือเป็นเรื่องที่เปลี่ยนตลอดเวลา คุณรู้ไหมว่าสระไอเคยเป็นสองชิ้น มันคือสระเอแล้วมีหยักข้างบน ก็ไม่มีใครสนใจไง ก็คิดว่าที่เห็นอยู่ที่เป็นอยู่นี้มันคือoriginal เรารู้จักสิ่งที่ตัวเองใช้น้อยมาก ผมว่าแม่งโคตรเศร้า

คนชอบคิดว่าตัวอักษรเป็นเรื่องที่หยุดนิ่ง ความจริงแล้วคุณเป็นแค่น้ำหยดเดียวในกระแสน้ำของประวัติศาสตร์ คุณเป็นแค่หยดเดียวในไทม์ไลน์ คุณเห็นพัฒนาการของตัวอักษรไทยแค่จุดเล็กๆ ของจำนวนเวลา 750 ปี คุณไม่รู้หรอกว่าตัวหนังสือเคลื่อนตัวทุกวัน คุณไม่รู้หรอกว่าตัวหนังสือไทยเปลี่ยนวิธีการเขียนทุกวัน เพียงแต่ช่วงชีวิตที่คุณเกิด ก.ไก่ เป็นแบบนี้แล้ว ตัวหนังสือเป็นข้อตกลงในสังคม ถ้าทุกวันนี้ผมบอกว่า โอเค จะเขียน ก.ไก่ แบบกลับไปมีขมวดแทนปากหยัก ทุกคนกรุณาอ่านอันนี้เป็น ก.ไก่ ให้เหมือนกัน…แล้วผมเป็นใคร การเปลี่ยนแปลงไม่สามารถเกิดขึ้นแบบนี้ได้ ไม่ได้เกิดขึ้นแบบฉับพลันแบบนั้น นอกเสียจากว่ามีอำนาจที่มาจากนอกระบบธรรมชาติของระบบวิวัฒนาการที่ดำเนินอย่างปกติ

+ คุณมองว่าพ่อขุนรามฯเป็นนักออกแบบตัวหนังสือไหม

ตอบไม่ได้ เพราะผมไม่รู้ เราไม่มีทางที่จะรู้เลย คนที่จะออกแบบภาษาหรือตัดสินใจที่จะทำอะไรได้ในยุคแบบนั้นต้องเป็นคนที่มีอำนาจ สมมติคุณเป็นปราญช์โนเนม มีภูมิปัญญาชาวบ้าน แต่คุณไม่สามารถทำให้คนทั้งอาณาจักรเขียนและพูดเป็นภาษาเดียว เพราะคุณไม่มีอำนาจ เพราะฉะนั้นการที่คุณจะสถาปนาภาษาเขียนของชาติโดยไม่มีอำนาจจึงเป็นไปไม่ได้ ต้องเป็นความรับผิดชอบของคนที่มีอำนาจ เพราะฉะนั้นก็แน่นอนว่าการเป็นผู้นำประเทศย่อมมีอำนาจในการทำเช่นนั้น แต่ว่าทั้งนี้ทั้งนั้นผมไม่ได้บอกว่า ไม่นะ…ท่านไม่ได้เป็นคนออกแบบ แต่เราไม่รู้ว่าเรามีข้อพิสูจน์อะไร โอเคเราเข้าใจว่าตัวอักษรไทยเกิดในช่วงนั้น แล้วคนที่มีอำนาจที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงหรือสั่งให้มีภาษาเขียนแทนภาษาพูดในวันนั้นต้องเป็นคนที่มีคุณสมบัติประมาณนี้ เพราะฉะนั้นเราก็เชื่อตามนี้

แต่ถามว่าเป็นผู้ออกแบบหรือเปล่า…แน่ะ ก็ไม่ใช่อีก ผมว่าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถ้าบอกว่าเราลอกเขมร เรารับมาจากพม่าจากมอญ แล้วถามว่าเขมร พม่า มอญ รับมาจากไหน รวมถึงลาวด้วย…ก็นู้น บาลีสันสกฤต มาจากอินเดียตอนใต้ นั่นคือรากจริงๆ คุณจะเอาแบบใครลอกใครล่ะ ถ้าคุณบอกว่าไทยลอกเขมร เขมรก็บอกว่ากูก็ลอกเขามาอีกทีหนึ่ง มันจุติที่ตรงนู้น ที่อินเดีย มันไม่มีอะไรoriginalหรอกในโลกนี้ ผมก็ไม่ใช่ ที่คุณคุยกับผม ผมก็ไม่ originalหรอกนะ ไม่มีอะไร originalหรอก แต่ก็อย่าติดกับดักทางภาษาอีก เดี๋ยวก็ไปจับใจความว่าไม่มีอะไร original ในโลกนี้ อย่างไรก็ตามผมเล่าเรื่องให้มันบ้าๆ บอๆ หรือเสียดสีอะไรก็ตามแต่ เพื่อจะทำให้คุณเห็นว่าภาษาไทยไม่ได้ original แต่ไม่ได้เพื่อให้ตีความว่าผมไม่มีความรักในภาษาไทย

เหตุที่ตัวเขียนภาษาไทยมีหัวกลมเพราะถูกปรับแต่งให้มีความ original ปรับแต่งให้ตัวหนังสือไทยมีความแตกต่างจากภาษาเขียนอื่นในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะแต่ก่อนเราลอกเขามาปรับบ้างนิดๆ หน่อยๆ เปลี่ยนวิธีเขียนบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่มันก็ยังเป็นเทือกเดียวกันอยู่

ภาษาไทยเริ่มมีคาแรคเตอร์ช่วงอยุธยาตอนปลาย ในยุคนั้นภาษาไทยมีหัวกลมแล้ว ถ้าผมจำไม่ผิf พระนารายณ์มหาราช เป็นคนปรับตัวหนังสือไทยให้มีคาแรคเตอร์ใกล้เคียงกับที่เราคุ้นชินทุกวันนี้ ใช้คำว่าใกล้เคียง ผมไม่ได้บอกว่าเหมือนเป๊ะเลยนะ ไม้ตรี ไม้จัตวา นี่ยังมาทีหลังเลย มาในรัตนโกสินทร์ ถ้าคุณนั่งไทม์แมชชีนกลับไปในช่วงอยุธยาตอนปลาย คุณจะยังพออ่านได้ ผลผลิตของการเปลี่ยนแปลงคราวนั้นแสดงผลช่วงปลายอยุธยา ซึ่งทำให้คนที่มีชีวิตในยุครัตนโกสินทร์พอที่จะแกะอ่านได้บ้าง พอจะเห็นความสัมพันธ์พอจะเดาได้ว่าตัวนี้คืออะไร อารมณ์ละม้ายกับคุณไปเที่ยวลาวแล้วพอจะแกะได้ว่าเขาเขียนอะไร

ข้อดีของการปรับแต่งตัวหนังสือคือการสร้างชาติ ทำให้เรามีอัตลักษณ์ร่วมกัน คุณพูดภาษาเดียวกับฉันเขียนตัวหนังสือแบบเดียวกับฉัน รู้สึกมีขอบเขตของความเป็นชาติขึ้นมา…อ่ะ คนนั้นพูดมอญเขียนไม่เหมือนฉัน เขาไม่ใช่คนชาติเดียวกับฉัน คือการแบ่งแยกแบบนี้ในยุคนั้นมันอาจจะมีความสำคัญมาก แต่ทุกวันนี้ความคิดเรื่องชาติในแบบนี้มันก็ดูจะไม่เข้าท่าสักเท่าใดนัก

ถ้าให้พูดในฐานะ type designer ผมมองว่าตัวหนังสือไทยแบบมีหัวเป็นการตกแต่งนะ ไม่ได้มีฟังก์ชัน ถ้าคุณไปดูตัวหนังสือละติน ตัวที่มี serif กับตัวที่ไม่มี serif ก็คือ serif  กับ san serif (ทำเชิงอรรถอธิบาย) อย่างตัว serif มีที่มา ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะ decorate ทุกตัว โปรดใส่ serif ลงไป…ไม่ใช่ มันมาจากอุปกรณ์การเขียน มาจากวัฒนธรรมการเขียนมันจึงมี serif ถึงวันหนึ่งเมื่อเทคโนโลยีการพิมพ์เข้ามา ก็ต้องมี type design ใช่ไหม ซากหรือร่องรอยของการเขียนที่แอบอิงกับอุปกรณ์จึงกลับเข้าไปอยู่ในการออกแบบ แต่หัวกลมของตัวหนังสือไทยถูกใส่เข้าไปเพื่อจะ distance จากอารยธรรมรอบๆ บ้าน ที่มาของอัตลักษณ์นี้เป็นการเติมเสริมแต่ง ไม่ได้มาจากฟังก์ชันของวัสดุประกอบการเขียน หากแต่เป็นฟังก์ชันทางสังคม