ทองหล่อ เส้นทางเชื่อมต่อยุคสมัย • ตอนที่ 2

➜ “ทองหล่อ” แบบตัวอักษรที่เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อระหว่างทศวรรษของคัดสรร ดีมาก ซึ่งมุ่งประเด็นเริ่มต้นไปที่การเติมเต็มช่วงราวสองทศวรรษที่ขาดหายไปของพัฒนาการที่ควรจะเกิดขึ้นกับแบบตัวอักษรไทยที่มีหัว (Loop terminal) อันที่จริงแบบร่างของ ทองหล่อ ได้เกิดขึ้นมากว่าสี่ปีที่แล้ว โดยการทำงานร่วมกับลูกค้ารายหนึ่ง ซึ่งมีความต้องการแบบตัวอักษรไทยประเภทที่มีหัวแต่ให้ความรู้สึกร่วมสมัย และมีรายละเอียดเท่าที่จำเป็น เพื่อสื่อถึงวิธีคิดที่แตกต่างจากความคิดแบบอนุรักษ์นิยมโดยทั่วไป โจทย์ดังกล่าวนับว่ามีความน่าสนใจและท้าทายนักออกแบบเป็นอย่างมากในช่วงเวลานั้น เนื่องจากความต้องการของลูกค้าส่วนใหญ่ มักเกิดขึ้นกับแบบตัวอักษรประเภทที่ไม่มีหัว (Loopless terminal) นี่จึงเป็นสิ่งจุดประกายให้ อนุทิน วงศ์สรรคกร เริ่มคิดที่จะพัฒนาแบบโดยมอบหมายให้ เอกลักษณ์ เพียรพนาเวช เริ่มร่างต้นแบบของทองหล่อในช่วงปี 2553

แบบร่างนั้นถูกพัฒนาจนกลายมาเป็น “ทองหล่อ” โดยมีแนวคิดบนหลักการที่ว่า โครงสร้างตัวอักษรละตินแบบไม่มีเชิง (Sans serif) ที่อยู่ในแบบตัวอักษรไทยที่ไม่มีหัว (Loopless terminal) สามารถนำมาใช้กับแบบตัวอักษรไทยที่มีหัว (Loop terminal) ได้ในลักษณะเดียวกับการออกแบบตัวอักษรละตินในชุดเดียวกันที่มีทั้งตัวที่ไม่มีเชิง (Sans serif) และตัวที่มีเชิง (Serif) การมองว่าโครงสร้างของตัวอักษรที่ไม่มีหัวกับตัวอักษรที่มีหัว สามารถเป็นโครงสร้างชุดเดียวกันได้ ต่างจากวิธีคิดในการออกแบบตัวอักษรที่มีหัวในยุคที่ผ่านมา ที่มักจะมองโครงสร้างของตัวมีหัว แยกวิธีคิดเป็นคนละเรื่องกับตัวไม่มีหัว อย่างไรก็ตาม แบบร่างที่เกิดขึ้นกลับต้องหยุดชะงักกลางคัน เนื่องจากความต้องการของลูกค้าที่ตัดสินใจกลับไปใช้ตัวอักษรประเภทที่ไม่มีหัว เพราะซื้อชุดความเชื่อเดี่ยวของนิยามร่วมสมัยที่ว่า ตัวอักษรแบบที่ไม่มีหัวแสดงถึงความก้าวหน้าได้มากกว่า ทำให้ทองหล่อต้องอยู่ในสถานะ แบบร่างที่ไม่ได้รับเวลาในการพัฒนานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เนื่องจากการพัฒนาแบบตัวอักษรเพื่อระบบค้าปลีก หรือที่นิยมเรียกว่ารีเทลนั้น ในความเป็นจริงต้องใช้การลงทุนทางด้านบุคลากรและเวลาที่เทียบเท่า หรือบางครั้งมากกว่าการออกแบบตัวอักษรสำหรับองค์กรเสียด้วยซ้ำ

จนกระทั่งช่วงต้นปี 2556 อนุทิน วงศ์สรรคกร ได้ตัดสินใจนำแบบร่างของทองหล่อกลับมาปัดฝุ่นเสียใหม่ ดูเหมือนว่าผงฝุ่นของกาลเวลาเคลือบได้เพียงภายนอกของแบบเท่านั้น เพราะวิธีคิดภายในของตัวแบบ ยังคงสามารถเติมเต็มช่องว่างทางพัฒนาการของแบบตัวอักษรไทยหัวกลมได้อยู่ โปรเจค “ทองหล่อ” ถูกมอบหมายและส่งไม้ต่อให้กับ ชูโร่ง คิม นักออกแบบตัวอักษรสัญชาติเกาหลี ที่ผ่านการฝึกงานและเรียนรู้การออกแบบตัวอักษรไทยกับ คัดสรร ดีมาก ถึงหนึ่งปีเต็ม ด้วยเหตุผลที่ต้องการให้เธอใช้มุมมองและความเข้าใจแบบคนนอก เพื่อนำพาให้เกิดการแก้ไขปัญหาในการออกแบบตัวอักษรไทยด้วยรูปแบบใหม่ๆ ทำให้การออกแบบเป็นไปอย่างปราศจากข้อจำกัดในเรื่องความคุ้นชินที่มีต่อตัวอักษรไทย ก่อนที่จะผ่านการตรวจแก้แบบจาก อนุทิน วงศ์สรรคกร ที่ลงรายละเอียดเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี โดยมี สมิชฌน์ สมันเลาะ เป็นผู้ทดสอบและตรวจทานในสภาพการใช้งานจริง และ ศุภกิจ เฉลิมลาภ กับการดูแลการผลิตและทดสอบเชิงเทคนิค ในขณะที่ตัวละตินได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมในตอนท้ายจากการวาดเส้นของ คริสเตียน ชวาร์ส ทองหล่อจึงเป็นแบบตัวอักษรชุดที่ใช้บุคลากรและผู้เชี่ยวชาญมากอีกชุดเลยก็ว่าได้ จึงไม่น่าแปลกใจที่ผลงานชุดนี้ได้รับรางวัลการออกแบบยอดเยี่ยมจากกรมส่งเสริมการส่งออกกระทรวงพาณิชย์ (DESIGN EXCELLENCE AWARD 2013 หรือ DEmark ) และรางวัลออกแบบยอดเยี่ยมจากประเทศญี่ปุ่น (GOOD DESIGN AWARD 2013) หรือที่เรียกกันสั้นๆว่ารางวัล จีมาร์ค (G Mark )

โครงสร้างทางกายภาพของ “ทองหล่อ” ได้ถูกออกแบบให้มีเส้นตัวอักษรที่มีความหนาเท่ากันตลอดทั้งเส้น (Monoline) ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของตัวอักษรไทยแบบดั้งเดิมตามประวัติศาสตร์ โดยมีข้อเด่นคือ การออกแบบสัดส่วนของตัวอักษรให้มีความกว้างขึ้นกว่าแบบตัวอักษรไทยหัวกลมอื่นๆเป็นพิเศษ เป็นที่น่าสังเกตว่าวิธีคิดในลักษณะนี้ได้ถูกวางไว้ตั้งแต่ฟอนต์ “อนุภาพ” แล้ว สำหรับพื้นความเชื่อเรื่องตัวอักษรในสัดส่วนจตุรัส ที่ทำให้สระและวรรณยุกต์มีเนื้อที่มากขึ้นในการแสดงตัวตน ที่น่าสนใจมากกว่านั้นคือ ทองหล่อ ถูกวางแผนการออกแบบส่วนหัวของตัวอักษรให้มีขนาดที่ใหญ่ เพื่อความสะดวกในการรองรับน้ำหนักที่หลากหลาย และการไล่ระดับความหนาตามลักษณะนิยมเช่นเดียวกับครอบครัวละติน ซึ่งครอบคลุมทั้งหมด 6 น้ำหนัก คือ Hairline, Thin, Light, Regular, Bold, Heavy โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำหนักที่หนาพิเศษอย่าง Heavy การมีสัดส่วนที่กว้างขึ้นและหัวตัวอักษรที่โตขึ้นกว่าปกติ ทำให้การขยายน้ำหนัก กระทำได้โดยไม่มีปัญหาในเรื่องความไม่สม่ำเสมอของเส้นอักษร (ผิดเจตนากลายเป็นเส้นที่มีความหนาบาง) และเป็นการวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงความตันของหัวตัวอักษร อาจกล่าวได้ว่า ทองหล่อ เป็นแบบตัวอักษรไทยมีหัวชุดแรก ที่สามารถรักษารูปลักษณ์ที่สะท้อนเจตนาของโครงสร้าง เอาไว้ได้อย่างครบถ้วนในทุกน้ำหนัก

สิ่งที่เป็นผลตามมาจากการมีน้ำหนักที่หลากหลาย ทำให้ทองหล่อเป็นแบบตัวอักษรไทยหัวกลมที่มีน้ำเสียงหลายโทน และให้สำเนียงเลียนแบบตัวอักษรประเภทที่ไม่มีหัว เช่นในน้ำหนัก Hairline ของทองหล่อ ที่มีน้ำเสียงเบาบางแบบเป็นกลาง และให้สำเนียงที่รู้สึกถึงความเป็นแฟชั่น เบาและเฉียบเฉี่ยว ซึ่งที่ผ่านมาเป็นน้ำเสียงที่พบในตัวอักษรแบบไม่มีหัว (ในน้ำหนักบาง) มาโดยตลอด และไม่เคยปรากฏในกลุ่มของตัวอักษรหัวกลม จากลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ทองหล่อเป็นแบบตัวอักษรไทยหัวกลมร่วมสมัย ที่ถูกออกแบบมาให้สามารถนำไปใช้งานเป็นทั้งตัวเนื้อความ (Text Font) และตัวพาดหัว (Display Font) ได้ในบริบทเดียวกัน โดยเฉพาะการเป็นตัวพาดหัว ซึ่งที่ผ่านมาเป็นหน้าที่ของตัวอักษรไทยแบบไม่มีหัวมาโดยตลอด เพราะถูกชี้นำทางความคิดว่าดูร่วมสมัยกว่า และเพราะแบบตัวอักษรไทยที่มีหัว มักไม่ค่อยปรากฏแบบที่มีความร่วมสมัยที่สามารถเข้ากับเนื้อหาของปัจจุบันได้ ในส่วนของตัวเนื้อความเอง ก็มีบางสถานการณ์ที่เกิดความไม่สอดคล้องระหว่างแบบตัวอักษรและเนื้อหาเช่นกัน กล่าวคือ แบบตัวอักษรหัวกลมที่มาจากอดีต ก็มีน้ำเสียง สำเนียง และภาพที่ติดมาด้วย ทำให้ตัวเนื้อหาของปัจจุบันต้องจำนนต่อการสื่อสารด้วยน้ำเสียงที่ไม่เข้ากันกับใจความ

นอกจากนั้นการมีสัดส่วนที่กว้างขึ้นเป็นพิเศษของทองหล่อ ยังส่งผลให้ “พื้นที่รอบๆตัวอักษร” (spacing) ต้องถูกออกแบบให้มีระยะห่างมากขึ้นตามไปด้วย ลักษณะกายภาพที่ตัวอักษรมีความกว้าง และมีพื้นที่โดยรอบที่มากขึ้นของทองหล่อ ถูกคิดขึ้นบนความต้องการที่จะให้ผู้อ่าน อ่านได้ช้าลงเพื่อที่จะอ่านได้เร็วขึ้น กล่าวคือ การที่ทองหล่อเป็นแบบตัวอักษรที่มีสัดส่วนกว้างเป็นพิเศษ ทำให้ตัวอักษรแต่ละตัวสามารถที่จะรักษารายละเอียดของส่วนประกอบต่างๆ ไว้ได้อย่างชัดเจน เมื่อเปรียบเทียบการอ่านระหว่าง ทองหล่อ กับ แบบตัวอักษรหัวกลมทั่วไป ที่มีสัดส่วนที่แคบกว่า โดยใช้ประโยคที่มีข้อความเดียวกัน พบว่าทองหล่อต้องใช้เวลาที่มากกว่า ในการกวาดตาจนครบประโยค แต่ในช่วงกวาดตานี้เอง ผู้อ่านสามารถประมวลผลถึงความหมายของคำได้เร็วขึ้น เนื่องจากความชัดเจนของแต่ละตัวอักษร ต่างกับการกวาดตาในตัวอักษรหัวกลมที่มีสัดส่วนแคบ ซึ่งใช้เวลาน้อยกว่าในการกวาดตาจนครบประโยคก็จริง แต่กลับประมวลผลได้ช้ากว่า เนื่องจากความชัดเจนของตัวอักษรแต่ละตัวมีน้อยกว่า และหากต้องอ่านเป็นระยะเวลานาน สัดส่วนที่แคบก็ทำให้สายตาเกิดความเหนื่อยล้า อาจสรุปสั้นๆได้ว่า ทองหล่อใช้เวลามากกว่าในการกวาดตามอง แต่ประมวลผลการรับรู้ได้เร็วกว่า จึงเป็นที่มาของประโยคที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาใช้นิยามว่า “ทำให้กว้างขึ้น เพื่อให้อ่านได้ช้าลง เพื่อให้อ่านได้เร็วขึ้น”

การเดินเส้นอักษรของทองหล่อ เป็นอีกสิ่งที่มีพัฒนาการที่เด่นชัดจากกลุ่มตัวอักษรไทยแบบมีหัว ทองหล่อมีการเดินเส้นอักษรโดยมีที่มาจากการพิจารณาตัวอักษรแต่ละตัวในลักษณะที่แยกกันเป็นชิ้นส่วน ก่อนที่จะมาประกอบเข้าด้วยกัน (modular system) วิธีเดินเส้นดังกล่าวเป็นการออกแบบโดยไม่ยึดติดกับลักษณะการเขียนของตัวอักษรไทย ที่เป็นการลากเส้นต่อเนื่องจนจบโดยไม่ยกมือในการเขียนตัวอักษรแต่ละตัว และมักจะถูกนำไปใช้เป็นแนวทางในการออกแบบ ซึ่งคาดว่าคือหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้แบบตัวอักษรไทยที่มีหัว มักจะมีลักษณะภายนอกที่คล้ายคลึงกัน ข้อดีของการมองตัวอักษรในลักษณะแยกเป็นชิ้นส่วน (แบบตัวละติน) คือมันได้เอื้อให้เกิดการพลิกแพลงเพื่อมองหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในการออกแบบโครงสร้างได้มากขึ้น เช่นใน ทองหล่อ ที่มีการเดินเส้นโดยการย่นระยะของเส้นเชื่อมด้านในตัวอักษร เพื่อประหยัดเส้นตัวอักษรให้มากที่สุด โดยที่ยังสามารถรักษาอัตลักษณ์ของตัวอักษรแต่ละตัวเอาไว้ได้ แนวคิดดังกล่าวถูกแสดงออกในรูปแบบของการกำหนดให้เส้นตั้ง (Stem) ทั้งสองเส้นในแต่ละตัวอักษร เป็นเส้นหลักสำหรับรับการเชื่อมจากเส้นนอน หรือเส้นทแยง ตรงบริเวณที่ไม่ใช่ปลายจบของเส้นตั้ง (บริเวณลำตัวของเส้นตั้ง) การเดินเส้นอักษรด้วยวิธีนี้ ส่งผลให้ผู้อ่านเกิดความรู้สึกในการอ่านที่ต่างออกไป ทั้งเมื่อมองเฉพาะตัวอักษร (Character) และเมื่ออ่านเรียงเป็นข้อความ (Texture) หากแต่ผู้อ่านก็ไม่สามารถระบุได้อย่างแน่ชัดว่าสิ่งที่ทำให้รู้สึกเช่นนั้นคืออะไร เนื่องจาก ทองหล่อ ได้สร้างความคุ้นชินให้กับผู้อ่านตั้งแต่ยังไม่ได้กวาดตาอ่าน ด้วยการแทรกตัวเองเข้าไปอยู่ในนิยามของความเป็นไทย โดยอาศัยความที่เป็นตัวอักษรไทยแบบมีหัว ที่ได้ช่วยสร้างมโนทัศน์ในชั้นแรกให้กับผู้ที่ชอบอิงความเชื่อเรื่องแบบตัวอักษรที่มีหัวอ่านง่ายกว่า ซึ่งเป็นอุดมคติเชิงอนุรักษ์นิยมของตัวอักษรไทย และถึงแม้ทองหล่อจะมีการออกแบบที่แอบจัดจ้านในรายละเอียด แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคในการทำความเข้าใจแต่อย่างใด

อีกฟีเจอร์พิเศษที่น่าจะกล่าวถึงของทองหล่อ คือการมีตัวเลขไทยถึงสองชุดในแบบตัวอักษรเดียวกันให้เลือกใช้ โดยตัวเลขไทยทั้งสองชุดมีความต่างกันในเรื่องของสัดส่วนความสูง ชุดที่ถูกตั้งค่าเป็นมาตรฐานในการเรียกใช้ เป็นแบบที่ถูกพัฒนาให้มีความสูงเกือบเทียบเท่าพยัญชนะ ซึ่งแตกต่างกับตัวเลขไทยในแบบตัวอักษรไทยหัวกลมชุดอื่นๆ ที่มีความสูงของเลขไทยที่เตี้ยกว่าพยัญชนะอย่างเห็นได้ชัด อันที่จริงแล้วปัญหาความสูงของเลขไทยพบทั้งในแบบตัวอักษรที่ไม่มีหัว และแบบที่มีหัว คาดว่ามีสาเหตุมาจากการที่ตัวเลขไทยมักไม่ค่อยได้รับการพัฒนาเมื่อมีการออกแบบตัวอักษรขึ้นมาใหม่ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ค่อยเห็นพัฒนาการของเลขไทยทั้งในโครงสร้างและสัดส่วน อย่างไรก็ตาม คัดสรร ดีมาก ได้มองเห็นปัญหาเหล่านี้ และเริ่มทำการพัฒนาตัวเลขไทย โดยเริ่มจากในชุดแบบตัวอักษรที่ไม่มีหัว จนกระทั่งมาถึงทองหล่อ แนวความคิดนี้ยังได้รับการถ่ายทอดมาปรับใช้เช่นกัน และตัวเลขไทยอีกชุดของทองหล่อ เป็นแบบที่ยังคงรักษาสัดส่วนดั้งเดิม คือเตี้ยกว่าตัวพยัญชนะอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากต้องการให้เป็นทางเลือกเพื่อรองรับสถานการณ์ในการออกแบบที่ต้องการความเป็นทางการแบบดั้งเดิม ต่างจากตัวเลขไทยในชุดแรกที่ออกแบบมาเพื่อรองรับลักษณะการใช้งานที่ร่วมสมัย

แนวคิดเรื่องการร่นระยะของเส้นอักษร นอกจากจะเป็นลูกเล่นให้กับโครงสร้างของทองหล่อแล้ว มันยังถูกถ่ายทอดมาถึงการตั้งชื่อของชุดตัวอักษร โดยผ่านกรอบคิดในเรื่องการร่นระยะทาง (Shortcut) ของ “ถนนทองหล่อ” ซึ่งบางคนอาจจะคาดเดาไปก่อนว่าที่มาของชื่อแบบตัวอักษร “ทองหล่อ” มีสาเหตุมาจากการเป็นสถานที่ตั้งของ คัดสรร ดีมาก แต่นั่นกลับไม่ใช่เหตุผลหลักอย่างแท้จริง หลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนว่า ก่อนที่ซอยทองหล่อจะถูกเปลี่ยนนิยามมาเป็นถนน มันเป็นเพียงซอยตันเล็กๆ ที่มีคูน้ำพาดผ่าน เป็นย่านที่อยู่อาศัยที่เงียบสงบของสุขุมวิทช่วงไกลจากตัวเมือง และเป็นทางลัดสำหรับคนในพื้นที่โดยผ่านทางถนนเอกมัย เมื่อสมัยที่ยังเป็นซอยตัน จนกระทั่งความเจริญได้แผ่ขยายมาตามลำดับเลขซอยที่สูงขึ้นของถนนสุขุมวิท ทองหล่อจึงถูกเปลี่ยนให้เป็นเส้นทางคมนาคมที่สำคัญ ที่ช่วยร่นระยะและเชื่อมต่อถนนเพชรบุรีตัดใหม่เข้ากับกับถนนสุขุมวิท การสร้างสะพานข้ามคลองแสนแสบที่ท้ายซอยทองหล่อ บริเวณช่วงสำนักงานเขตวัฒนา ทำให้ทองหล่อถูกเรียกเป็นถนนอย่างสมบูรณ์ และลักษณะทางกายภาพของทองหล่อ ทั้งถนนและแบบตัวอักษร ต่างมีบทบาทในการเชื่อมต่อสองสิ่งเข้าด้วยกัน ดังว่า “ถนน…เชื่อมต่อความเจริญ, แบบตัวอักษร…เชื่อมต่อยุคสมัย”

จะเห็นได้ว่าการเกิดขึ้นของ “ทองหล่อ” ตั้งอยู่บนความต้องการที่จะมีแบบตัวอักษรเพื่อใช้บันทึกถึงน้ำเสียงของภาษาและการออกแบบของปัจจุบัน และยังสะท้อนให้เห็นถึงการสร้างแนวทางในการออกแบบตัวอักษรไทยตระกูลหัวกลม ด้วยการค้นหาวิธีเข้ากระทำแบบใหม่ สิ่งเหล่านี้ทำให้ทองหล่อ มีสถานะเป็นแบบตัวอักษรที่เป็นผลผลิตของปัจจุบัน อันที่จริงแล้วแบบตัวอักษรใดก็ตามที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ ก็ย่อมเป็นผลผลิตของความเป็นปัจจุบันเช่นกัน การพัฒนาแบบตัวอักษรในแต่ละยุค ควรที่จะเป็นภาระหน้าที่ของนักออกแบบที่สังกัดอยู่ในห้วงสมัยนั้น ลองคิดดูว่าหากแบบตัวอักษรขาดการพัฒนาไปในยุคใดยุคหนึ่ง ย่อมส่งปัญหาไปถึงนักออกแบบในรุ่นหลัง ที่ต้องมารับช่วงในการทำให้เกิดพัฒนาการ ทั้งที่มันควรที่จะเกิดขึ้นก่อนหน้า ทำให้ความต่อเนื่องของพัฒนาการแบบตัวอักษรเป็นไปอย่างขาดๆหายๆ ที่สำคัญคือขาดใจความและน้ำเสียงที่สะท้อนบุคลิกและโลกทัศน์ของช่วงเวลานั้นๆ การมีความรับผิดชอบต่อภาระในการบรรจุใจความและเนื้อหาของยุคสมัย เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นไปพร้อมกับกระบวนการการออกแบบอยู่แล้วโดยอัตโนมัติ อีกนัยหนึ่ง มันคือการลุกขึ้นมาทำให้ศาสตร์ของความรู้ในแขนงนี้เคลื่อนก้าวไปข้างหน้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นในทุกสมัยเพื่อเติมเต็มความหมายของคำว่า “แบบตัวอักษร สะท้อนยุคสมัย”

_

ภาคผนวก : Loop Terminal และ Loopless Terminal เป็นศัพท์ที่นิยามขึ้นโดย คัดสรร ดีมาก เพื่อใช้ในการทำงานร่วมกับ Linotype จากเยอรมนี โดย Loop Terminal หมายถึง ตัวอักษรไทยประเภทที่มีหัว และ Loopless Terminal หมายถึง ตัวอักษรไทยประเภทที่ไม่มีหัว อย่างไรก็ตาม การนิยามศัพท์เพื่อใช้ในการจำแนกประเภทและรายละเอียดลักษณะต่างๆ ของแบบตัวอักษรไทย ยังมีความต้องการอยู่อีกเป็นจำนวนมาก เช่นในกรณีของทองหล่อ ซึ่งมี “หัวตัวอักษร” ที่มีลักษณะกลมและมีขนาดใหญ่กว่าหัวตัวอักษรในแบบตัวอักษรไทยอื่นๆ ก็ควรที่จะต้องนิยามด้วยคำที่อธิบายถึงลักษณะได้อย่างชัดเจนขึ้น และแนวคิดนี้กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการในปัจจุบัน